- โลกของ Innistrad -
ยามเมื่อตะวันลับฟ้า มนุษย์จะตกเป็นเหยื่อแห่งราตรี

 

Innistrad เป็นชื่อ Plane ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายแนวโกธิก (Gothic) ที่อ้างอิงโลกของทวีปยุโรปตะวันออก และเยอรมนี ในช่วงยุค ศตวรรษที่ 18 ถึง 19

โดยนิยายแนว Gothic นั้น หมายถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ, สยองขวัญ, เรื่องเหนือจริง อาจจะมีส่วนผสมเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องความรักเข้าไปเช่นกัน

ตัวอย่างที่เด่นชัดของนิยายแนว Gothic นั้นก็คือ นิยายเรื่อง Frankenstein โดย Mary Shelley หรือจะเป็นเรื่อง Dracula โดย Bram Stoker เป็นต้น

ซึ่งนั่นทำให้ Innistrad เป็นดวงดาวที่เต็มไปด้วยเรื่องสยองขวัญ และให้ความรู้สึกมืดหม่น รวมถึงมีการเล่าถึงเรื่องเหนือจริงตามนิยายแนว Gothic นั่นเอง

 

 

- สรุปเหตุการณ์ใน Innistrad -

 

แรกเริ่มเดิมที Innistrad นั้น ก็เป็นเพียงดวงดาวที่มีเรื่องราวอิงตามนิยาย Gothic ตามที่เราได้เกริ่นไปตอนต้น

มันมีที้งผี, วิญญาณ, ปีศาจ, ศพเดินได้ และไสยเวทย์ที่ผสมกลมกลืนกับวิทยาศาสตร์

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อาหารไม่เพียงพอต่อประชากร และผู้คนก็เริ่มล้มตายจากความอดยาก

Edgar Markov มนุษย์เพศชายคนหนึ่ง, เขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ และนักปรุงยา แม้ว่าตระกูลของเขาจะไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร แต่พวกเขาเองก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากภัยของความอดยากในครั้งนี้ได้

จนเขาได้ทำสัญญากับปีศาจที่ชื่อว่า Shilgengar มันหลอกล่อให้ Edgar ปรุงยาที่จะช่วยให้ตระกูลของเขาหลุดพ้นจากความอดยาก

แต่หารู้ไม่ว่า เหตุการณ์ที่อาหารไม่เพียงพอในดวงดาวนั้น... มาก็จากพลังของจอมปีศาจ Shilgengar เอง

 

Edgar สามารถปรุงยาที่เขาถูกล่อลวงได้สำเร็จ และมันทำให้ตัวเขากลายเป็น Vampire... ก่อนที่เขาจะบังคับให้ทุกคนในตระกูลต้องเข้าร่วมพิธีดื่มยานี้

และ ก็นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสายตระกูล Vampire ทั้งปวงใน Innistrad

จนถึงคราวของ Sorin Markov, หลานชายของ Edgar,

เมื่อเขาได้ดื่มยานั้นเข้าไป ผลของมันเลวร้ายมากๆ จนทำให้ Sorin ได้รับ Spark และกลายเป็น Planeswalker

 


Edgar Markov

 

เมื่อ Sorin เดินทางกลับมาที่ Innistrad อีกครั้ง เขาก็พบกับปัญหาใหม่

มันกลายไปเป็นดวงดาวที่ต้องจัดสรรความสมดุลของดวงดาว ระหว่างผู้ล่า และเหยื่อ โดยฝ่ายที่เป็นเหยื่อ และอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ก็คือ Human หรือเหล่ามนุษย์ปุถุชนนั่นเอง

พวกเขาอาจจะมีประชากรเยอะ แต่เมื่อผู้ล่านั้น มีทั้ง Vampire และ Werewolves อัตราการเกิด กับการตายจึงไม่สมดุลกัน

ไม่รวมว่า ยังมีภัยร้ายอย่างพวกปีศาจ และมนุษย์ด้วยกัน ที่จ้องจะเอาศพ และวิญญาณของผู้เสียชีวิต ไปทำการทดลองทั้งทางไสยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

 

ในตอนนั้น Sorin จึงตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง ก่อนที่ผู้ล่าทั้งหมดในดวงดาวจะล่าเหยื่อจนหมด และไปจบที่ล่ากันเองจนดาวทั้งกวงกลายเป็นดาวร้าง

ดังนั้นแล้ว Sorin จึงเริ่มสร้าง Helvault ที่เป็นเสาหินขนาดใหญ่ ขึ้นมาจากเงิน และในเวลาเดียวกันนั้น ก็ปรากฏร่างของนางฟ้าอีกองค์ เธอมีชื่อว่า Avacyn

และทั้งสองสิ่ง ก็กลายมาเป็นตัวแทนของ Sorin ในการรักษาสมดุลของดวงดาว

โดยนางฟ้า Avacyn ได้กลายเป็นอัครเทวทูตท่ามกลางเหล่านางฟ้าที่ Innistrad

แม้ว่าเธอจะเป็นนางฟ้าที่เพิ่งกำเนิดจากพลังของ Sorin Markov

แต่ด้วยความสามารถของ Avacyn ก็ทำให้เธอได้รับการยอมรับจากเหล่านางฟ้าองค์อื่นๆ ที่กำเนิดมาพร้อมๆ กับดวงดาว Innistrad

หน้าที่ของ Avacyn คือการปกป้องเหล่ามวลมนุษย์จากภัยร้าย ไม่ว่าจะเป็นจากพวกปีศาจ, มนุษย์หมาป่า,วิญญาณร้าย หรือ Vampire เอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ศรัทธาในตัวของ Avacyn มากยิ่งขึ้น, ความศรัทธาและความเชื่อ ก็ก่อให้เกิดลัทธิ Avacyn ขึ้นมา

ส่วน Helvault นั้น มีหน้าที่เป็นดั่งคุก มันกักขังสิ่งเลวร้ายที่ไม่สามารถทำลายได้ อย่างเช่นพวกปีศาจ, โดย Avacyn จะจัดการพวกปีศาจด้วยตัวเธอเอง ซึ่งอาวุธที่เธอใช้งาน ก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิ Avacyn เช่นกัน

 


Sorin Markov

 

แต่แล้ว เมื่อ Avacyn ได้ปะทะกับจอมปีศาจ Griselbrand เธอกลับพลาดท่า ถูกมันลากเข้าไปใน Helvault พร้อมๆ กัน

และในช่วงเวลานั้น สมดุลแห่ง Innistrad ก็เริ่มวิบัติอีกครั้ง...

แต่ก็เพียงไม่นาน เพราะ Helvault ก็ถูกทำลายโดย Planeswalker ที่มีชื่อว่า Liliana Vess

เพราะเธอต้องการสังหาร Griselbrand และยกเลิกพันธะปีศาจ ซึ่งเธอก็ทำมันได้สำเร็จ

 

Avacyn ที่หลุดออกมาจากคุก Helvault ได้ ก็กลับมาดูแลเหล่ามนุษย์อีกครั้ง...

แต่ความสงบก็คงอยู่ได้ไม่นานเมื่อเธอได้รับคำสวดอ้อนวอนจากชาวบ้านคนหนึ่ง เพื่อตามหาลูกชายของเธอ

เมื่อเธอเจอเข้ากับเด็กคนนั้น เธอกลับถูกเวทย์มนต์บางอย่าง เหนี่ยวนำ และทำให้เธอมองเห็นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ จนท้ายที่สุดแล้ว เธอกลับนำเอานางฟ้าใน Innistrad เข้าจัดการประหัตประหารพวกมนุษย์เสียเอง

Sorin กลับมาเป็นผู้แก้ไขเหตุการณ์, หลังจากการปะทะกับ Avacyn, Sorin ก็จำใจจบเรื่องทั้งหมดด้วยการทำลายเธอลง

ซึ่งสิ่งที่ส่งผลให้ Avacyn เกิดวิปริตไป ก็มาจากการสร้างศิลา Cryptolith ที่เป็นพลังของ Planeswalker อีกคน, เธอมีชื่อว่า Nahiri อดีตลูกศิษย์ของ Sorin เอง

เธอทำศิลา Cryptolith เพื่อบิดเบือนการไหลของมานาในดวงดาว และล่อลวงให้ Emrakul อีกหนึ่ง Eldrazi (หรือสิ่งมีชีวิตที่ตามล่าแหล่งมานาเพื่อกลืนกิน) ให้พวกมันมาที่นี่

 


Emrakul, the Promised End

 

นั่นเป็นการแก้แค้นหลังจากที่ Zendikar ดาวบ้านเกิดของ Nahiri ถูกพวก Eldrazi โจมตี แต่ Sorin กลับไม่ให้ความช่วยเหลือ

แน่นอนว่า เมื่อ Sorin ทราบถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งหมด เขาเข้าปะทะกับ Nahiri แต่เขาก็พลาดท่า ถูกเวทย์มนต์ของ Nahiri ผนึกเขาเอาไว้ในเสาคฤหาสน์ Markov

ให้เขาทำได้แค่จ้องมองดวงดาวของตัวเองถูก Eldrazi กลืนกิน... แต่เหล่า Gatewatch หรือกลุ่มของ Planeswalker ที่ร่วมมือกันเพื่อป้องกันภัยร้ายระดับพหุจักรวาล (Multiverse) ก็สามารถหยุด Eldrazi ตัวนี้ไว้ได้...

แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า Sorin ได้ถูกผนึกไว้ในหิน, พวก Gatewatch จึงเดินทางกลับ ทิ้ง Sorin ไว้ในเสาหินต่อไป

เหตุการณ์นี้ทาง Olivia Voldaren เอง ได้ให้ความร่วมมือกับ Sorin ในช่วงเวลาสั้นๆ, เพราะทันทีที่ Sorin พลาดท่า เธอก็ขโมยดาบ Parasite Blade ไปจาก Sorin และวางแผนขึ้นสู่อำนาจแทนที่เขาทันที

 

หลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ Eternal Night หรือราตรีนิรันดร์ ซึ่งว่ากันว่า เป็นผลมาจากการผนึก Emrakul ไว้ที่ดวงจันทร์ จนทำให้มันเกิดความวิปริตในช่วงเวลา เพื่อนๆ สามารถตามอ่านเนื้อเรื่องของเหตุการณ์ Eternal Night แบบเต็มๆ ได้ที่นี่เลยครับ

 

 

- เขตแดนของ Innistrad -

 

ก่อนที่เราจะเล่าถึงแต่ละภูมิภาคของ Innistrad นั้น, อีกอย่างที่เราอยากจะพูดถึงคือ “ดวงจันทร์”

ดวงจันทร์ที่มีความพิเศษกว่าดวงจันทร์ทั่วๆ ไป ที่เราคุ้นเคย

นักดาราศาสตร์มากมายที่ Innistrad นั้น เชื่อว่าดวงจันทร์ดวงนี้ มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายที่เกิดจากเงิน (Silver), และวัตถุดิบที่ชื่อว่า Moonsilver ก็ว่ากันว่า มันถูกส่งตรงมาจากดวงจันทร์

ซึ่ง Moonsilver นั้น เป็นวัตถุดิบที่สามารถใช้ปลุกเสกเพื่อเป็นทั้งอาวุธ และเครื่องป้องกันต่างๆ จากภัยร้ายในดวงดาวเอง

กระนั้น แสงจากดวงจันทร์ก็ส่งผลร้าย อาทิเช่น มันจะลดพลังของเวทย์ปกป้อง หรือกระตุ้นการแปลงร่างของมนุษย์หมาป่า เป็นต้น

 


Moon of Innistrad

 

หลังจากเรารู้จักกับดวงจันทร์ที่ส่งพลังเหนือธรรมชาติมายังดวงดาวแล้ว ที่ Innistrad นั้น จะแบ่งพื้นที่ในดวงดาวเป็น 4 เขตแดน (หรือเรียกว่าจังหวัด (Province) แต่เรารู้สึกว่ามันให้ความรู้สึกแคบไปหน่อย เลยขอดื้อใช้เขตแดน หรือเขตพื้นที่แทนนะครับ)

โดยแต่ละเขตพื้นที่ก็จะมีความแตกต่างทั้งสิ่งมีชีวิตที่อยู่อาศัย วัฒนธรรม และตัวพื้นที่เอง

 

- Gavony -

 

Gavony อยู่ทางตอนใต้ของ Innistrad และประกอบไปด้วยแนวภูเขา

เป็นถิ่นที่อยู่หลักของมนุษย์ มันเต็มไปด้วยป้อมปราการ และบ้านเรือนมากมาย แต่กระนั้น มันก็เป็นเมืองที่ถูกรุกรานบ่อยเป็นอันดับต้นๆเนื่องจากที่ Innistrad, มนุษย์ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นเพียงเหยื่อ หรือแทบจะอยู่ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหารเลยก็ว่าได้

และเมื่อ Gavony เป็นสถานที่ที่รวบรวมมนุษย์ไว้มากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะถูกเหล่าผู้ล่ารุกรานอยู่เรื่อยๆ

นอกจากมนุษย์ปกติแล้ว ที่ Gavony เอง ก็ไม่ต่างจากเขตอื่นๆ ที่ Innistrad นั่นคือจะมีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ, ผีร้าย, ผีดิบ หรือสายพันธุ์อื่นๆ แผงตัวอยู่ร่วมกับมนุษย์

 

และสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจใน Gavony ยังมี

  • High City of Thraben หรือ Thraben: เป็นเมืองทางเหนือของ Gavony ที่นี่เป็นเหมือนย่านคนรวย และชนชั้นสูง มันมีกำแพงล้มรอบหลายชั้น แบ่งตามหน้าที่ ดังนี้
    • กำแพงชั้นนอก (Outer Wall): มีหน้าที่ปกป้องชั้นนอกสุดของเมือง และจะถูกต่อเติมเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    • กำแพงแห่งการค้า (Merchant’s Wall): กำแพงที่ป้องกันศูนย์รวมของการค้า จะมีอาคารมากมาย และพื้นที่สำหรับค้าขาย
    • กำแพงแห่งทายาท (Child’s Wall): กำแพงชั้นในของเมือง มันแข็งแรงพอๆ กับกำแพงชั้นนอก แต่ไม่เคยถูกต่อเติมใดๆ, ที่กำแพงจะมีรายชื่อของเด็กๆ ที่เกิดใหม่มาสลักไว้เสมอๆ เนื่องจากเป็นความเชื่อของผู้ปกครองว่า เด็กๆ ที่มีชื่ออยู่บนกำแพง จะได้รับเวทย์มนต์ปกป้องตลอดชีวิต
    • กำแพงแห่งเขี้ยว (Fang Wall): เป็นกำแพงที่ใช้เพื่อเป็นสัญญะในการจัดการมนุษย์หมาป่า (Werewolf), พวกมันจะถูกนำมาประหารที่ตรงกำแพง ถูกถอดเขี้ยว และนำมันไปปักฝังไว้ที่กำแพง
    • กำแพงไร้โลหิต (Bloodless Wall): เป็นกำแพงที่ใช้เพื่อเป็นสัญญะในการจัดการผีดูดเลือด (Vampire), พวกมันจะถูกตรึงไว้ที่กำแพงนี้ และปล่อยให้อดจนตาย

สถานที่สำคัญอีกแห่งคือ มหาวิหารแห่ง Thraben ที่เรียกได้ว่า เป็นศูนย์รวมความเชื่อของผู้คนใน Innistrad

 


Hanweir Battlements

 

  • Nearheath: เมืองขนาดกลางทางตอนใต้ของ Thraben, ผู้อาศัยส่วนใหญ่ เป็นชนชั้นกลาง-ล่าง เช่นช่างฝีมือ และชาวนา
    ด้วยความใกล้ชิดกับเมืองใหญ่อย่าง Thraben ที่ Nearheath จะได้รับการดูแลจากทั้งการสร้างกำแพง และกำลังทหาร ซึ่งแลกเปลี่ยนกับสินค้า และทรัพยากรอื่นๆ 

    ส่วนสถานที่น่าสนใจในเมือง Nearheath คือ
    • Hanweir: หมู่บ้านการเกษตร และเป็นตลาดที่ทำการค้าขายกับเมืองข้างเคียง
    • Moorland: เมืองที่ปลีกวิเวกจากเมืองอื่นๆ ใน Gavony อยู่ห่างจาก Nearheath ไปอีกพอสมควร
      มันเป็นเมืองที่แทบจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว เนื่องจากที่ตั้ง ที่เอื้อให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติทั้งหลายอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ, ผีร้าย และผีดิบ


       


Gisa and Geralf

นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ความขัดแย้งของพี่น้องตระกูล Cecani นั่นคือ Geralf และ Gisa ที่ทั้งคู่ต่างปลุกซากศพขึ้นมาปะทะกัน

จนผู้คนที่เหลืออยู่ในเมือง Moorland ไม่หนีตาย ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพผีดิบไปแล้ว

 

 

- Kessig -

 

Kessig เป็นเขตที่ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางของ Innistrad, เป็นพื้นที่ที่ประกอบด้วยพื้นราบ มีไร่นา และโอบล้อมด้วยป่ารกทึบ

Kessig เป็นเขตที่เสมือนอยู่ในฤดูใบไม้ร่วงตลอดเวลา และท่ามกลางป่ารกทึบ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่จึงมีวิถีชีวิตแบบนายพรานล่าสัตว์ และมักจะระแวงผู้คนจากภายนอก

ที่ Kessig นั้น เป็นเขตที่มีมนุษย์หมาป่าแผงตัวอยู่ค่อนข้างมาก แต่ก็เช่นเดียวกับเขตอื่นๆ ใน Innistrad ที่ยังคงมีวิญญาณร้าย, ผีดิบ หรือ Vampire ปรากฏตัวอยู่บ้าง

 

สถานที่สำคัญของ Kessig คือ

  • ป่า Ulvenwald: หรือป่าแห่งหมอก เป็นพื้นที่ป่ารกทึบ ที่เสมือนจะตัดขาดเขต Kessig จากเขตพื้นที่อื่นๆ
  • Gatstaf: หมู่บ้านห่างไกลตัวเมือง ที่ขึ้นชื่อเรื่องเหมืองถ่านหิน และช่างงานหนังฝีมือดี
  • Breakneck Ride: เป็นชื่อเรียกเส้นทางสำหรับการเดินทางเข้าเขต Kessig จากเขตพื้นที่อื่นๆ โดยปลอดภัย
    • Hairpin Road: เส้นทางเชื่อมต่อไปยังเขต Stensia
    • Bower Passage: เส้นทางเชื่อต่อไปยัง Gavony
    • Briar Bridge: เส้นทางเชื่อมต่อไปยัง Nephalia
  • Lambholt: หมู่บ้านการเกษตร ทั้งงานไร่, นา และงานปศุสัตว์
  • Avabruck: อดีตเมืองหลวงของเขต Kessig ปัจจุบันเหลือเพียงเศษซากความรุ่งเรืองเนื่องจากการโจมตีของมนุษย์หมาป่า

 

 

- Stensia -

 

Stensia เมืองแห่งหุบเหว แนวเขาสูงเสียดฟ้า และความหลากหลายทางภูมิประเทศที่ไร้แสงแดด

Stensia นั้นมีทั้งพื้นที่ราบลุ่ม, หนองบึง, แนวป่าสน แต่ทั้งหมดนั้น อยู่ภายในมวลเมฆบนท้องฟ้า มันส่งแสงสีเขียวเข้ม และม่วง เติมความหม่นหมอง จนไม่อาจจินตนาการถึงแสงแดดที่จะส่องผ่านมาได้จริง

ที่ Stensia นั้น เป็นถิ่นที่อยู่หลักของเหล่าผีดูดเลือด (Vampire) เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่แยกแนวเทือกเขาแต่ละจุดออกจากกันด้วยหุบเหว มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุมปริมาณอาหาร (หรือมนุษย์นั่นเอง) ของแต่ละเขตพื้นที่

ซึ่งเหล่า Vampire ที่นี่ จะมีสายตระกูลแตกต่างกันไป โดยแต่ละสายตระกูลก็จะปกครองพื้นที่ของตนเอง

 

สถานที่น่าสนใจของเขต Stensia คือ

  • Geier Reach: คือแนวเทือกเขาสูงในเขต Stensia ที่ตั้งตระหง่านกั้นเขตชายแดนของ Gavony และยาวไปถึงชายแดนของ Kessig, ยอดเขาของมันสูงทะลุแนวเมฆขึ้นไปอีก
  • Stensia’s Valleys: หรือแนวเหวที่เกิดจากช่องว่างของเทือกเขา Geier Reach นั่นเอง ส่วนพื้นที่ที่น่าสนใจจะมีชื่อเรียกว่า Inland valleys ซึ่งมีสถานที่ที่น่าทำความรู้จักดังนี้


Falkenrath Marauders

- Castle Falkenrath: ตั้งอยู่ที่ชายแดนเชื่อมกับเขต Kessig เป็นปราสาทของ Vampire ตระกูล Falkenrath
ปัจจุบันถูกทหารศักดิ์สิทธิ์เข้ายึดไว้


Olivia Voldaren

- Lurenbraum Fortress: ป้อมปราการขนาดมหึมา ที่ตั้งเพื่อป้องกันเขตที่ดินของ Vampire ตระกูล Voldaren, ที่ตรงนี้ สามารถมองเห็นเขตพื้นที่ Nephalia ได้


Edgar Markov

- Kruin Pass: เส้นทางเชื่อมโยงไปยังเขต Gavony ที่ยอดเขา Kruin ยังเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ Vampire ตระกูล Markov ที่ปัจจุบันถูกทำลายจนเหลือแต่ซาก

และว่ากันว่า คฤหาสน์ตระกูล Vess ของ Planeswalker ชื่อ Liliana Vess ตั้งอยู่ที่เขต Stensia เช่นกัน

 

 

- Nephalia -

 

Nephalia เมืองท่า และการค้าทางน้ำของ Innistrad, เนื่องด้วยลักษณะทางภูมิประเทศของ Nephalia ที่ติดกับทะเล มันจึงเป็นเขตพื้นที่ที่สามารถส่งสินค้าไปยังเขตพื้นที่อื่นๆ ได้ง่ายที่สุด, และพื้นที่ภายในก็ยังเต็มไปด้วยเส้นทางเดินเรือผ่านแม่น้ำ การคมนาคมและขนส่งส่วนใหญ่ของ Nephalia จึงใช้เรือเป็นหลัก

แต่เส้นทางเข้ามายัง Nephalia นั้น ก็ไม่ได้มีเพียงทางทะเล แม้แต่ภูเขาก็ยังมีเส้นทางให้เดินทางผ่าน ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ที่อึมครึม เต็มไปด้วยเมฆหมอก และมืดครึ้ม

ที่ Nephalia นั้น เป็นเมืองที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ แต่ก็ยังมีผี และ Vampire ที่เข้ามาแวะเวียนทำธุรกิจ หรือทำเรื่องผิดกฏหมายที่นี่เช่นกัน
การค้าขายสินค้าใต้ดินที่นี่ ถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะพวกศพ ที่มักจะถูกนำไปใช้ในการทดลอง และสารเคมีผิดกฎหมายสำหรับศาสตร์การปรุงยาต้องห้าม
ซึ่งนั่น ทำให้ที่ Nephalia กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยนักวิทยศาสตร์ และนักไสยเวทย์ที่ต้องใช้อวัยวะ หรือศพในการทดลองต่างๆ ด้วยความง่ายดายในการเข้าถึงวัตถุดิบนั่นเอง

 


Runo Stromkirk

ในขณะที่พวก Vampire ที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะเป็นพวกตระกูล Stormkirk และพวกเขาก็วางระบบไว้เพื่อเก็บภาษีจากทุกการค้าขายที่นี่

นอกจากนี้ เหล่ามนุษย์ที่อยู่ที่นี่ ก็มีบางคนที่อยู่ในลัทธิที่บูชา Kralma อันเป็นเทพปีศาจทะเลจำพวก Kraken

สถานที่น่าสนใจใน Nephalia เช่น

  • หอคอยของ Jenrik: เป็นหอคอยสูงของนักดาราศาสตร์ที่ชื่อว่า Jenrik, มันตั้งอยู่ที่ Silver Beach ชายหาดที่มีแร่เงินละเอียดอยู่มากมาย
    ปัจจุบัน Jenrik พลาดท่าเสียชีวิตไปในช่วงเหตุการณ์ Travails และเพื่อของ Jenrik ที่เป็นนักดาราศาสตร์เช่นกัน, Vadrik เข้ามาสานต่องานของเขา
  • เมืองท่า Havengul: เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุด และเป็นที่ตั้งของโบสถ์แห่ง Avacyn, แม้ว่าจะเป็นโบสถ์ที่อ้างอิงจากความเชื่อหลักของ Innistrad แต่การที่มันตั้งอยู่ในเขตที่ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อเทพปีศาจมากกว่านางฟ้าผู้พิทักษ์ โบสถ์แห่งนี้จึงเป็นเสมือนจุดดึงดูดผู้คนจากต่างถิ่นเสียมากกว่า
    ว่ากันว่า บริเวณโบสถ์แห่งนี้ จะมี Vampire ชื่อ Jeleva คอยออกล่าเหยื่อ และทางโบสถ์ก็ไม่สามารถจัดการกับเธอได้ซักที
  • เมืองท่า Drunau: เมืองที่เชื่อมต่อกับเขต Kessig และ Gavony รวมถึงเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ Vampire ตระกูล Stromkirk ด้วย
  • เมืองท่า Selhoff: เป็นเมืองท่าที่เงียบเหงา และมีหมอกหนาปกคลุม, มันแทบไม่มีการค้าขายใดๆ เพราะเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยวิญญาณจำพวก Nebelgast
    Nebelgast เป็นวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นมาจากหมอก พวกมันจะมีความเชื่อมโยงกับคลื่นทะเลเหมือนกับวิญญาณจำพวก Marei (วิญญาณที่ตายไปจากการเดินทางในทะเล) และ Niblis (วิญญาณเยือกแข็ง)”
  • เมืองใต้ดิน Erdwal: จะว่าเป็นเมืองใต้ดินก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะแรกเริ่มเดิมที Erdwal นั้น เป็นเส้นทางใต้ดินที่ชาว Nephalia สร้างขึ้นเพื่อใช้เดินทางระหว่างเมืองท่า เพื่อลอบเร้นจากภัยอันตรายเบื้องบน ทั้ง Vampire, ผีดิบ, นักล่ามนุษย์, ปีศาจ และวิญญาณร้าย
    Erdwal จึงได้รับการดูแลจากหลายภาคส่วน จนค่อยๆ เติบโตเป็นเมืองย่อมๆ ที่มีทั้งการค้าขายธุรกิจสีเทา และงานจ้างวานผิดกฏหมาย

 

 

- ผู้อาศัยแห่ง Innistrad -

 

ในโลกของ Innistrad นั้น มีผู้อาศัยอยู่อย่างหลากหลาย แต่ในเชิงการออกแบบเกมแล้ว ที่ Innistrad จะแบ่งเผ่าพันธุ์ที่หลักเป็น 5 เผ่าพันธุ์ดังนี้

 

Human
มนุษย์, ผู้เป็นทั้งเหยื่อ และผู้ที่ลุกขึ้นเป็นฝ่ายล่า
สีประจำเผ่า: ขาว-เขียว

 

อันที่จริงแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ใน Innistrad นั้น สามารถปรากฏอยู่ในการ์ดได้ทุกสี เพียงแต่สีที่เด่นชัด และปรากฏบนการ์ดบ่อยที่สุด จะเป็นสีขาวและเขียวนั่นเอง

ซึ่งตามที่เกริ่นไปในช่วงแรก มนุษย์นอกจากจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีประชากรเยอะที่สุดใน Innistrad แล้ว พวกเขายังมีตำแหน่ง และหน้าที่แตกต่างกันไป

อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นนักบวช ชีวิตของคุณก็จะต้องผูกพันธ์กับโบสถ์

ถ้าคุณเป็นช่างฝีมือ หรือพ่อค้า คุณก็ทำงานตามปกติ

แต่ถ้าคุณเป็นชนชั้นแรงงาน ชีวิตก็จะสุ่มเสี่ยงกับภัยร้ายจากพวกเหนือธรรมชาติขึ้นมาทันที

เพราะที่ Innistrad ความปลอดภัยของคุณ มันซื้อได้ด้วยเงิน...

จากค่าเฉลี่ยแล้ว ชาวไร่, ชาวนานอกจากจะโดนล่า เสี่ยงกับโรคร้ายและคำสาป พวกเขายังติดอยู่กับความอดยากจนอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 ปีเท่านั้น

ในขณะที่ชนชั้นนำนั้น มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่เกือบๆ 70 ปี เพราะไม่เพียงจะมีเหล่าทหารศักดิ์สิทธิ์มาช่วยดูแล แต่การที่พวกเขามักจะอยู่ชั้นในของกำแพงเมือง ก็ยิ่งปลอดภัยเข้าไปอีก โดยเฉพาะเมื่อคุณเปรียบเทียบกับชาวนาที่เหลือเพียงรั้วไม้ทำมือ คอยขวางกั้นระหว่างบ้านของพวกเขากับภัยร้ายมากมายที่รออยู่

 

แต่สิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ใน Innistrad เชื่อเหมือนๆ กันก็คือ การใฝ่หาการหลับไหลอย่างสงบ (Blessed Sleep)

กล่าวคือ ผู้คนทั่วๆ ไปของ Innistrad นั้น ไม่ได้คาดหวังชีวิตอันเป็นนิรันดร์...

พวกเขาต้องการจากไปอย่างสงบ และยาวนาน, เพราะที่แห่งนี้พวกเขารู้ดี ว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด

ถ้าพวกเขายังมีบ่วงกับโลกคนเป็น, เขาจะกลับมาในรูปแบบวิญญาณ

ถ้าร่างของพวกเขาไม่สูญสลายไป, เขาอาจจะต้องถูกปลุกขึ้นมาเป็นผีดิบจากไสยเวทย์ หรือการทดลองบ้าๆ บอๆ จากนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ปกติ

เพราะฉะนั้นแล้ว การตายโดยไม่ถูกรบกวน คือสิ่งที่มนุษย์แทบทุกคนต่างใฝ่หา

 


Avacyn, Guardian Angel

 

ความเชื่อเหล่านี้ ก่อกำเนิดมาจากศูนย์รวมจิตใจอย่างโบสถ์ของ Avacyn (Church of Avacyn)

ซึ่งความเป็นมาของโบสถ์ Avacyn นั้น เกิดขึ้นจากความเชื่อในตัวนางฟ้าที่ชื่อว่า Avacyn ผู้เป็นดั่งเทพพิทักษ์ของดวงดาว และยังเชื่ออีกว่า พลังหรือปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้น มาจากพลังของเธอแทบทั้งหมด

ซึ่งมันเป็นความเชื่อที่หยั่งรากลึกลงไป จนทำให้ระบบการปกครองก็ถูกหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับลัทธิความเชื่อ ดังจะเห็นได้จากระดับชั้นในการปกครอง

  • นางฟ้า: นอกจาก Avacyn: อัครเทวทูตสูงสุด ผู้เป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์ เธอยังมีอัครเทวทูตอีก 3 นาง พวกเธอเป็นนางฟ้าเช่นกัน โดยทั้ง 3 จะดูแลฝูงบินของตนเอง


Mikaeus, the Lunarch

  • บาทหลวง
    • Lunarch: ผู้นำสูงสุดของโบสถ์ จะถูกเลือกตั้งจากสภาบาทหลวง
    • Bishop: คณะบาทหลวงที่คอยดูแลระบบ ระเบียบของโบสถ์
    • Mayor: ผู้ปกครองทางการเมือง
    • Priest: นักบวชที่คอยใช้เวทย์มนต์ และดูแลประชาชนผู้เข้ามาร้องขอความช่วยเหลือที่โบสถ์
    • Monk: นักบวชที่ออกตะเวนช่วยเหลือประชาชนรอบนอก แต่ถ้านับตามยศแล้ว พวกเขาถือเป็นนักบวชชั้นแรงงาน และบางคนก็เป็นเพียงอดีตนักบวช ที่ถูกทางโบสถ์ขับไล่ออกมา


Thalia, Guardian of Thraben

  • นักรบศักดิ์สิทธิ์
    • Gavony Riders: ทหารม้าที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ พวกเขาถูกฝึกมาเพื่อรบบนหลังม้าด้วยดาบ และหอก
    • Gryffbond Order: ทหารนก พวกเขาจะขี่สัตว์ที่มีชื่อว่า Gryffs มันจะมีรูปร่างคล้ายนกกระเรียน และจะจับคู่กันจนกว่าจะมีฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งตายจากกันไป, พวกเขาจะเป็นทหารผู้ใช้ท้องฟ้าเป็นสนามรบ
    • Moor chaplains: นักบวชที่ใช้เวทย์มนต์เพื่อการรักษา, แม้พวกเขาจะสามารถต่อสู้ด้วยอาวุธ และเวทย์มนต์ได้ดี แต่ส่วนใหญ่แล้ว เขาจะอยู่แนวหลังในสนามรบเสียมากกว่า
    • Mausoleum guards: ทหารทั่วไป ที่มีความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ได้เล็กน้อย
    • Nightfall Duelists: ทหารยามตรวจตราตามท้องถนนของ Nephalia เพื่อระวังภัยจาก Vampire, โจร และพ่อค้าศพ
    • Keepers of the Pale: นักบวชที่มีความชำนาญด้านการจัดการภูติผี และวิญญาณร้ายเป็นพิเศษ แต่เวทย์มนต์ที่พวกเขาต้องใช้ มักจะเป็นความลับ จึงทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้สุงสิงกับหน่วยนักรบศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ
    • Inquisitors: นักรบศักดิ์สิทธิ์รับจ้าง ที่มีความชำนาญในการล่า Vampire และพวกปีศาจเป็นพิเศษ
    • Parish-blades: นักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ทำหน้าที่ปกป้องขบวนเดินทาง เปรียบเทียบได้กับกลุ่มทหารทั่วไป

  • ช่างฝีมือของโบสถ์
    • Lunar-smiths: เป็นกลุ่มของนักบวชที่เชี่ยวชาญด้านการตีอาวุธ โดยเฉพาะอาวุธที่มีการเสกคาถาปกป้องลงไปด้วย, ช่างตีอาวุธเงินจะได้รับความนับถือเป็นพิเศษ เนื่องจากความยามในการเสกมนต์ลงไปในงาน และความจำเป็นที่จะใช้เพื่อต่อกรกับมนุษย์หมาป่า
    • Runechanters: นักจารึกอักขระ พวกเขาสามารถสร้างอักขระที่เต็มไปด้วยเวทย์มนต์สำหรับปกป้อง มันถูกใช้ทั้งฝังไปกับของเล่นของพวกเด็กๆ ไปจนถึงเป็นเครื่องประดับอื่นๆ

 

Spirit
วิญญาณ, ผู้วายชนม์
สีประจำเผ่า: ขาว-ฟ้า

 

เช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์ใน Innistrad, เผ่าพันธุ์ Spirit นั้น สามารถปรากฏได้ในการ์ดทุกสี เพียงแต่จะมากับการ์ดสีฟ้าและขาว มากกว่าสีอื่นๆ นั่นเอง

สำหรับเผ่าวิญญาณนั้น พวกเขาไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะส่วนใหญ่จะผูกพันธ์กับสถานที่ที่พวกเขาตายลงเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์

เหล่าวิญญาณนั้น มีทั้งวิญญาณบรรพบุรุษที่อยู่เพื่อปกป้องลูกหลาน หรือวิญญาณที่ตามล่าล้างแค้น

การมีอยู่ของ Avacyn นั้น ทำให้เหล่าวิญญาณสามารถกลับสู่สภาวะหลับไหลถาวรได้ง่ายขึ้น, ไม่จำเป็นต้องรอให้ไฟแค้น หรือหมดห่วงก่อน จึงจะสลายร่างไปได้

สสาร หรือ ไร้สสาร

วิญญาณใน Innistrad นั้นสามารถเดินผ่านสสารอื่นๆ ได้ก็จริง, แต่กับวิญญาณที่มีพลังสูงนั้น สามารถใช้พลังสร้างสสารออกมาเป็นอาวุธได้ (จะเรียกว่า Extoplasm)

แต่วิญญาณอื่นๆ นั้นอาจจะใช้พลังจิตเพื่อใช้เคลื่อนไหวสิ่งของในชีวิตจริง หรือบ้างก็มีพลังในการลดอุณหภูมิเยือกแข็ง

นอกจากนี้ วิญญาณบางร่างก็ใช้ความกลัวของเป้าหมาย ไปเป็นอาวุธเพื่อโจมตีทางจิตใจแทนอาวุธทางชีวภาพ

 

 

Zombies
ผีดิบ, ซากศพเดินได้
สีประจำเผ่า: ฟ้า-ดำ

 

แม้ส่วนใหญ่ Zombies ใน Innistrad จะปรากกอยู่ในการ์ดสีฟ้า-ดำ เป็นหลัก แต่ก็มีบ้าง ที่ไปปรากฏในการ์ดสีเขียว

เช่นเดียวกับเผ่าวิญญาณ พวก Zombies จะไม่มีถิ่นที่อยู่เป็นประจำ เพราะพวกมันเป็นเพียงเหล่าซากศพที่กลับมารับใช้เจ้านายอีกครั้ง จะมีเพียง Zombies ส่วนน้อยที่ยังคงความปรารถนา หรือมีสติของร่างต้นก่อนตายได้

ใน Innistrad นั้น พวก Zombie จะแบ่งออกเป็นสองชื่อ ตามวิธีการสร้างพวกมันขึ้นมา

 


Unhallowed Phalanx

  • แบบแรก The Unhallowed หรือผีดิบ (Ghoul)
    พวกนี้จะเป็น Zombie ที่เกิดขึ้นจากการเรียกขึ้นมาด้วยเวทย์มนต์ปลุกศพ, ผู้ที่ใช้เวทย์มนต์เหล่านี้ จะเรียกตัวเองว่า Ghoulcallers

    พวกเขาจะใช้ศพจากสุสานที่ไม่ได้รับเวทย์ปกป้องจากนักบวชของโบสถ์ Avacyn ซึ่งสุสานพวกนี้จะถูกเรียกสั้นๆ ว่า Graf (มาจาก Graveyard)
    • Fengraf: สุสานจากพื้นที่ลุ่มน้ำ ศพที่นี้มักจะเป็นช่างตีเหล็ก, ช่างทำรองเท้า และชาวบ้านที่ยากจน
    • Seagraf: สุสานชาวประมง ศพที่นี่ มักจะเป็นศพของชนชั้นกลาง โดยเฉพาะชาวประมง ซึ่งมันจะทำให้ศพที่เรียกขึ้นมานั้นมักจะมีอุปกรณ์การล่าปลา ไม่ว่าจะเป็นแห, ฉมวก หรือตะขอ
    • Diregraf: สุสานศพจากสงคราม ที่นี่มักจะเป็นเศษซากจากสงครามต่างๆ ศพที่ถูกเรียกขึ้นมามักจะมีอาวุธ และชุดเกราะพร้อมรบ แต่ก็ต้องแลกกับสภาพศพที่ไม่ค่อยจะสมบุรณ์เท่าใดนัก
      ความกระหายในสงคราม และการฝึกซ้อมที่ฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก ทำให้ศพที่มาจาก Diregraf ยังคงความสามารถในการรบ และมักจะอยู่ในระเบียบวินัยแบบทหาร

เหล่า Unhallowed ที่ถูกเรียกขึ้นมาใช้งาน ไม่ว่าพวกมันจะมาจากสุสานแบบใดก็ตาม พวกมันจะถูก Ghoulcaller ฝังความคิดที่เป็นเป้าหมายไว้
และส่วนใหญ่ พวกมันก็จะทำตามคำสั่งนั้นๆ ด้วยวิธีการของตนเอง, มันจึงมีหลายๆ ครั้ง ที่จะพบว่าอดีตช่างตีดาบ จะลุกขึ้นมาแล้วอยากจะ ”หลอม” เป้าหมายของเขาให้เป็นเนื้อเดียวกัน, อดีตฆาตรกรมักจะสังหารเหยื่อไม่เลือกหน้า หรืออดีตผู้ใช้เวทย์มนต์ ที่ยังคงใช้เวทย์บางอย่างได้... แม้ผลของมันมักจะวิปริตไปจากเดิมก็ตาม

 


Necroduality

  • Zombie แบบที่ 2 The Skaab
    ศาสตร์แห่งการเล่นแร่แปรศพ (Necro-Alchemy) ที่ Innistrad นั้น ถูกยกให้เป็นงานศิลปะมากกว่าการใช้วิชา Ghoulcalling
    เนื่องจากพวกมันไม่ได้มาจากการใช้ไสยเวทย์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีกระบวนการมากมาย (ถ้านึกไม่ออก ให้เพื่อนๆ ลองคิดถึงตัวละคร Frankenstein ได้เลย)
    โดยศพที่ถูกแปรสภาพจะถูกเรียกว่า Skaab ส่วนผู้ที่สร้างพวกมันขึ้นมาจะถูกเรียกว่า Skaberen, Sticther, Necro-Alchemist เป็นต้น
    ซึ่งเป้าหมายของ Skaberen นั้น จะแตกต่างจากพวก Ghoulcaller พอสมควร เพราะในขณะที่เหล่า Ghoulcaller จะเรียกศพจำนวนมากมายขึ้นมาใช้งาน, Skaberen มักจะสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมาจากศพ เพื่อสานต่อเป้าหมายอะไรบางอย่างในชีวิตของพวกเขา... แม้มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ออกจะวิปริตไปเสียหน่อยก็ตาม
    นอกจากนั้น การสร้าง Skaab ขึ้นมาซักตัว ต้องผ่านขั้นตอนมากมายกว่าการใช้ไสยเวทย์เพียงอย่างเดียว

โดยทั่วไป จะมีทั้งสิ้น 4 ขั้นตอน

  1. Corpus Creare: หรือการรวบรวมศพ เป็นขั้นตอนที่ Skaberen จะคัดสรรอวัยวะส่วนต่างๆ จากศพ ที่จะนำมาใช้งานกับ Skaab ร่างสมบูรณ์ ซึ่งพวก Skaberen จะซื้อ-ขายชิ้นส่วนต่างๆ กับพวกโจรขโมยศพ หรือใช้งานเหล่ามนุษย์สังเคราะห์ (Homuculi) ของตัวเอง
    ทำให้บางครั้ง อวัยวะที่ได้มา อาจจะไม่เพียงพอ และต้องนำอวัยวะของสัตว์อื่นๆ มาประกอบแทน
  2. Patin Ligitus: หรืออักขระผสาน ในขั้นตอนนี้ เหล่า Skaberen จะนำชิ้นส่วนต่างๆ เข้ามาผสานด้วยกัน ผ่านทางแผ่นโลหะ บางครั้งก็เป็นทองแดง บ้างก็ทองเหลือง, แต่ส่วนที่สำคัณคืออักขระตอกเงิน ที่จะมีพลังในการเชื่อมชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน
  3. Viscus Vitae: หรือเติมเชื้อเพลิงแห่งชีวิต นี่ถือว่าเป็นขั้นตอนที่เปรียบได้ดั่งงานศิลป์ในศาสตร์ Necro-Alchemy เลย
    โดยทั่วๆ ไป Viscus Vitae มันจะเป็นการผสมระหว่างน้ำมันตะเกียงเข้ากับเลือดสกัดของนางฟ้าในอัตราส่วนที่เป็นความลับ ก่อนที่จะถูกเผลี่ยนถ่ายกับเลือดที่หลงเหลืออยู่ในตัวของ Skaab, ดังนั้น พวกมันจึงเป็นศพที่เต็มไปด้วยของเหลวไวไฟ
  4. Vox Quietus: หรือแปลตรงตัวว่า “คำสั่งที่เงียบงัน” จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการสร้าง Skaab ขึ้นมา, โดยเหล่า Skaberen จะกระซิบเวทย์มนต์บางอย่าง เพื่อปลุกศพที่ผ่านการแปรสภาพมาแล้ว แม้ขั้นตอนนี้ จะใกล้เคียงกับวิธีที่เหล่า Ghoulcaller ใช้, แต่ท่าทาง และสำเนียงของเวทย์ที่ Skaberen ใช้นั้น จะเต็มไปด้วยความสงบเสงี่ยม ราวกับพวกเขากำลังปลุกเด็กน้อยขึ้นมาพวก Skaab จะลุกขึ้นมามีชีวิตในสภาพ “Tabula Rasa” หรือกายที่ว่างเปล่า, ซึ่งจะเป็นช่วงที่ Skaberen ที่สร้างพวกมันขึ้นมาจะเข้าไปพร่ำสอนเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาต้องการให้มันสืบทอด

ด้วยขั้นตอนที่มากมายกว่า Ghoulcaller, บรรดา Skaberen หลายๆ คนจึงมองว่าหนทางของการใช้ศาสตร์แบบ Necromancy นั้น คือวิธีที่ไร้อารยะ, หยาบกระด้าง และมักจะได้ศพที่ไม่ทำตามคำสั่งที่ต้องการ

แต่ในสายตาของคนทั่วๆ ไป, Skabaren เองก็ถูกมองเป็นพวกคนผิดบาป, พวกเขาจึงมักจะต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และหมกหมุ่นอยู่กับงานของตัวเอง... งานที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหนังสือ และคัมภีร์โบราณ, ขวดน้ำยาอันตรายมากมาย, โหลที่ดองอวัยวะต่างๆ ของทั้งมนุษย์ และสัตว์ชนิดอื่น, รวมถึงค้อนและทั่ง ที่มีไว้ใช้ตอกอักขระเงินเข้าไปบนโลหะที่ใช้เชื่อมชิ้นส่วนต่างๆ

 

 

 

Vampire
ผีดูดเลือด, ผู้ล่าเพื่อความสำราญ
สีประจำเผ่า: ดำ-แดง

 

เช่นเดียวกับเผ่า Zombies, เผ่า Vampire เอง สามารถไปปรากฏอยู่บนการ์ดสีขาว หรือในบางครั้ง ก็สีฟ้าได้เช่นกัน

Vampire ที่ Innistrad นั้น ไม่ได้เกิดจากเชื่อไวรัส หรือคำสาปใดๆ แต่เกิดมาจากพิธีกรรม และการปรุงยา

สำหรับ Vampire แล้ว สิ่งที่ใช้เพื่อดำรงชีวิตคือเลือดสดๆ จากมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่, พวกมันจะต้องการเลือดราวๆ 5 ลิตร ภายใน 1 รอบจันทรคติเพื่อดำรงชีวิต

ถ้าหาก Vampire ไม่ได้ดื่มเลือดมากพอ พวกมันจะอดตาย เริ่มจากอาการกระหายอย่างยิ่งยวด จนอาจจะทำให้ร่างกายแห้ง และสลายเป็นผงไปได้

แต่ทว่า ในโลกของความเป็นจริงที่ Innistrad นั้น, พวก Vampire เองไม่ได้มองว่าการดื่มเลือดนั้น เป็นเพียงเรื่องจำเป็น

เพราะความกระหายที่จะได้ดื่มเลือดนั้น มีอยู่ในห้วงความคิดของเหล่าผีดูดเลือดตลอดๆ จนพวกมันมักจะดื่มกินเกินความจำเป็น เพราะเลือดของมนุษย์ สำหรับ Vampire ก็ไม่ต่างจากไวน์ดีๆ

และนั่น... ทำให้ Vampire เป็นหนึ่งในสิ่งที่มีภัยต่อมนุษย์มากที่สุด

 

ทั้งนี้ การเพิ่มประชากรของ Vampire ที่ Innistrad นั้น ไม่ได้มาจากการดูดเลือด แล้วทิ้งไม่ให้เหยื่อตายเหมือนกับที่เราคุ้นเคย

เหยื่อที่ถูก Vampire กัดแล้วไม่ตายจากการเสียเลือด (ส่วนมาก มักจะเกิดจากการถูกขัดจังหวะ) พวกเขาจะตกอยู่ในภวังค์ของภาพหลอน ทั้งฝันร้าย และภาพชวนวาบหวามทั้งหลาย, อาการเหล่านี้จะติดอยู่กับพวกเขาได้เป็นเดือนๆ ก่อนที่จะหายเป็นปกติในที่สุด ไม่ได้กลายไปเป็น Vampire แต่อย่างใด

เพราะการจะเพิ่มสมาชิก Vampire ที่ Innistrad นั้น มันต้องผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนเลือด (Siring) ที่เริ่มต้นด้วยการคัดเลือก ”ผู้ที่คู่ควร” ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถโดดเด่น หรือรูปร่างหน้าตาที่ต้องตาต้องใจ... และส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบหลังเสียมากกว่า

เมื่อได้เป้าหมายแล้ว ฝ่าย Vampire จะแลกเปลี่ยนเลือดของตัวเอง ด้วยการกรีดหน้า หรือลิ้นของตัวเอง เป็นการ ”เจิม” (Anoint) ก่อนที่จะกัดเหยื่อ และทั้งคู่ จะเกิด ”ภาวะความเสมอภาคของเลือด” (Condition of blood)

หลังจากนั้น เหยื่อจะเกิดความกระหายเลือด แต่มันเป็นความกระหายเลือดที่จะดับลงได้ด้วยเลือดของ Vampire ผู้ที่เจิมเหยื่อคนนั้นเท่านั้น, ถ้าพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง แล้วเขาไม่ได้ดื่มเลือดจาก Vampire ร่างต้น เหยื่อก็จะตายลง, แต่ถ้าหากได้ดื่มเลือดแล้ว เขาก็จะกลายมาเป็น Vampire เต็มตัว

 

พวก Vampire นั้น ไม่ได้ถูกนับรวมกับพวกผีดิบ แม้พวกเขาจะมีพลังบางอย่างที่ใกล้เคียงกันมากๆ เช่นอายุขัยที่ไม่เพิ่มขึ้น หรือผิวหนังที่เย็นเฉียบ

สิ่งที่ Vampire จะปรากฏชัดก็คือดวงตาของพวกมันจะเป็นสีดำ ม่านตาสีทอง, เงิน หรือสีอื่นๆ, ผิวหนังซีดเผือก, พวกมันมักจะมีสีผมที่เข้ม และที่ขาดไม่ได้เลย คือเขี้ยวที่มักจะเก็บซ่อนได้ยาก แม้ว่ามันจะยังงอกยาวออกมาได้อีกราวๆ 6-7 เซนติเมตรเมื่อต้องการดูดเลือด

 

นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างแล้ว พวก Vampire ยังมีพลัง และความสามารถอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาเหนือกว่าตอนเป็นมนุษย์ เช่นความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้นราวๆ เท่าตัวหนึ่ง หรือเวทย์มนต์ในการสร้างภาพลวงตาที่ช่วยปิดบังภาพลักษณ์ เพื่อแฝงตัวไปในสังคมมนุษย์, เวทย์มนต์ที่ใช้เพื่อบิน, สะกดจิต หรือแปลงกาย เป็นต้น

 

 

Werewolf
มนุษย์หมาป่า, ผู้ล่าเพื่อความอยู่รอด
สีประจำเผ่า: เขียว-แดง

 

และเช่นเคย การ์ดเผ่า Werewolves บางครั้งก็อยู่ในการ์ดสีฟ้า หรือดำได้

โดย Werewolf นั้น เป็นอาการของคนที่ถูกสาปโดยคำสาปที่ชื่อว่า Lycanthropy

ในมุมมองของผู้ต้องสาปแล้ว บางครั้งก็เป็นดั่งคำสาป หรือบางครั้ง... มันกลับกลายเป็นดั่งพรที่เทพประทานให้
เขาอาจจะเห็นว่าตัวเองเป็นเพียงเหยื่อของคำสาป แต่บางคนก็มองว่าเป็นโอกาส ที่เขาจะได้ออกล่าในโลกกว้าง

พวก Werewolf ไม่ได้แปลงร่างเมื่อพระจันทร์เต็มดวง แต่พวกเขาสามารถเปลี่ยนร่างได้ ถ้าหากมีเรื่องกระทบจิตใจอย่างรุนแรง ส่วนดวงจันทร์นั้น เป็นเพียงส่วนเสริมให้การกลายร่างเป็นไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

ขั้นตอนการแปลงร่างเป็นหมาป่านั้น ไม่มีความน่าอภิรมย์ในการรับชมเลยแม้แต่น้อย ร่างของมนุษย์หมาป่าจะแสดงออกทางดวงตาเป็นอย่างแรก ตาขาวกลายไปเป็นสีดำมืด ม่านตาประกอบด้วยสีสัน, มือที่กลายไปเป็นอุ้งเท้า เล็บกลายไปเป็นกรงเล็บที่คมกริบ, ใบหน้าและคมเขี้ยวที่งอกออกมาจากหัวกะโหลก, กระดูกอื่นๆ จะส่งเสียงลั่นเมื่อมันขยับย้ายที่, ขนของหมาป่าจะงอกยาวออกมาปกคลุมร่างมนุษย์ กระดูกก้นกบงอกยาวไปเป็นหาง และอัตราการสูบฉีดเลือด รวมถึงออกซิเจนพุ่งสูง

เมื่อแปลงร่างเป็นหมาป่าแล้ว พวกเขาคือเครื่องจักรล่าสังหารดีๆ นี่เอง, ความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น และจิตใต้สำนึกแบบมนุษย์ที่ลดน้อยลง ส่งผลให้การออกล่าเต็มไปด้วยความดิบเถื่อนอย่างเต็มที่

พวกมนุษย์หมาป่าที่กลายร่างแล้ว มักจะไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่พวกเขาสามารถสื่อสารกันและกันผ่านทางกลิ่น และท่าทาง รวมถึงพละกำลัง และผลงานในการล่า หรือการปะทะกันเอง

เมื่อการล่าจบลง พวกเขาจะกลับร่างไปเป็นมนุษย์ โดยมากจะไม่เหลือเครื่องแต่งกายเดิม เพราะมักจะถูกทำลายไปตั้งแต่ตอนกลายร่างแล้ว, ร่างกายพวกเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผล และรอยฟกช้ำจากการล่า, สติจะเกิดภาพซ้อนระหว่างเหตุการณ์ในร่างหมาป่า กับชีวิตปกติของมนุษย์ บางครั้งมันก็จะทำให้พวกเขาวิกลจริตไปเลย

 

 

- ลงลึกถึงผู้อาศัยของ Innistrad -

 

แม้ว่าทั้ง 5 เผ่าพันธุ์หลักๆ ในโลกของ Innistrad จะถูกเชื่อมโยงกับคู่สีภายในเกม แต่ทั้งนี้ ที่ดาวดวงนี้ ก็ยังมีผู้อยู่อาศัยเผ่าพันธุ์ หรือประเภทอื่นๆ อีกมากมาย เผ่าพันธุ์ที่น่าสนใจ ก็เช่น

 

Angel
นางฟ้า, ผู้พิทักษ์
สีหลัก: ขาว และร่วมกับสีอื่นๆ

นางฟ้าใน Innistrad ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการกำเนิดดวงดาว พวกเธอเป็นดั่งพลังงานบริสุทธิ์ของดวงดาว

ผู้นำของเหล่านางฟ้าทั้งปวง คือ Avacyn แม้ว่าเธอจะเป็นนางฟ้าที่ไม่ได้กำเนิดมาพร้อมกับดวงดาวแฉกเช่นนางฟ้าตนอื่นๆ

แต่ด้วยแรงศรัทธาของผู้คน ทำให้เธอได้เป็นอัครมหาทูต โดยเธอยังมีนางฟ้าที่เป็นอัครทูตอีก 3 นาง ที่คอยดูแลฝูงบินของตนเอง

 


Gisela, Blade of Goldnight

  • The Flight of Goldnight: ดูแลโดย Gisela สีของมานาคือ ขาว-แดง
    เป็นฝูงบินที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้กับภัยร้ายทุกรูปแบบ และเคยดูแลการฝึกนักรบศักดิ์สิทธิ์, โดยฝูงบินนี้จะเชื่อมโยงกับช่วง Harvest Moon ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง, แม้ว่าจะเป็นช่วงที่เวลากลางวันสั้นลง และเวลากลางยืนยาวนานมากขึ้น, อากาศจะเย็นกว่าเดิม และว่ากันว่า เป็นฤดูกาลที่พวก Vampire จะทรงพลังมากที่สุด
    แต่ก็จะมีช่วงเวลา 2 วัน ที่พระอาทิตย์จะไม่ลาลับขอบฟ้าเลย และมันจะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบปี


Bruna, Light of Alabaster

  • The Flight of Alabaster: ดูแลโดย Bruna สีของมานาคือ ขาว-ฟ้า
    เป็นฝูงบินที่ก่อกำเนิดจากความเชื่อเรื่องวิญญาณ พวกเธอจะมีหน้าที่ดูแลมนุษย์ยามที่พวกเขาตายไป ไม่ให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของพวกหมอผีปลุกศพ หรือกลายไปเป็นวิญญาณร้าย คอยรบกวนคนเป็น
    ฝูงบินนี้เชื่อมโยงกับช่วง Hunter’s Moon ที่เป็นช่วงฤดูหนาว มันเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์จะคลอไปกับเส้นขอบฟ้า รวมกับอากาศที่หนาวเย็น มันจึงเป็นช่วงที่อาหารหายากกกว่าช่วงอื่นๆ, นายพรานมักจะต้องเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ ซึ่งกลายเป็นโอกาสให้เผ่าอื่นๆ ออกล่ามนุษย์
    ว่ากันว่า ช่วงเวลา Hunter’s Moon เป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์จะมอบพลังให้กับ Werewolf มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่พวกมันมักจะเข้ารุกรานตัวเมือง


Sigarda, Host of Herons

  • The Flight of Herons: ดูแลโดย Sigadar สีของมานาคือ ขาว-เขียว
    เป็นฝูงบินที่ก่อกำเนิดด้วยการเป็นสัญญะแห่งการก่อกำเนิด, การเกิดใหม่ และความบริสุทธิ์ พวกเธอจะมีเวทย์มนต์สำหรับการปกป้องเหล่าคนเป็นจากภัยร้าย (เสริมจากส่วนที่ฝูงบิน Alabaster จะปกป้องคนตาย)
    โดยฝูงบินนี้เชื่อมโยงกับช่วง New Moon ที่เปรียบได้กับฤดูใบไม้ผลิ, มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ดวงตะวันจะฉายแสงต่อวันยาวนานที่สุดในรอบปี และถูกเชื่อมโยงเข้ากับความศักดิ์สิทธิ์ของการกำเนิดใหม่
    เด็กๆ ที่เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ นอกจากจะถือว่าเป็นโชคดีมากๆ แล้ว, ว่ากันว่า พวกน้องๆ เหล่านี้ จะมีโอกาสได้หลับอย่างสงบ เมื่อจากไป

 

ทว่าหลังเหตุการณ์ Travail นั้น ได้ก่อกำเนิดฝูงบินใหม่ขึ้นมา จากความวิปริตของ Avacyn และผู้มาเยือนจากต่างดาว

 


Avacyn, the Purifier

  • The Flight of Moonsilver: ก่อตั้งโดย Avacyn หลังจากที่เธอถูกรบกวนจิตใจจากการมาเยือนของ Emrakul, Eldrazi จากต่าง Plane
    เหล่านางฟ้าในฝูงบินนี้ จะใช้อาวุธที่สร้างมาจากเศษซาก Helvault เพื่อกำจัดเหล่ามนุษย์ เนื่องจากในเวลานี้ Avacyn มองเหล่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่างรังเกียจไปเสียแล้ว, อดีตเทวทูตที่เข้าร่วมฝูงบินนี้คือ Gisela จากฝูงบิน Goldnight และ Bruna จากฝูงบิน Alabaster
    ฝูงบินนี้สลายไปเมื่อ Avacyn จบชีวิตลง
    ส่วน Sigarda นั้น ยังยืนหยัดอยู่เตียงข้างมนุษย์ ไม่ยอมทำตามคำสั่งของอัครเทวทูตอย่าง Avacyn


Brisela, Voice of Nightmares

  • The Flight of Nightmares: เป็นฝูงบินที่เกิดขึ้นหลังจาก Sorin จำใจทำลาย Avacyn ลง
    ทันทีที่ดาวดวงนี้ไร้ผู้ปกป้อง Emrakul ก็รุกเข้ามาภายในดวงดาวทันที เหล่านางฟ้าจากฝูงบิน Moonsilver ก็ถูกครอบงำโดยพลังของ Emrakul, ฝูงบินนี้ มี Brisela เป็นนางฟ้าผู้นำ, ซึ่งมันก่อกำเนิดขึ้นมาจากร่างของ Grisela และ Bruna ที่ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันจากพลังของ Emrakul
    หลังจาก Brisela และ Emrakul ถูกจัดการ ฝูงบินนี้ก็สลายไป

แต่กระนั้น ก็ยังเหลืออีกหนึ่งฝูงบินที่ถูกลบไปจากหน้าประวัติศาสตร์

 


Liesa, Shroud of Dusk

  • The Flight of Dusk: ดูแลโดย Liesa สีของมานาคือ ขาว-ดำ
    ฝูงบินนี้เคยมีอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์เมื่อพันกว่าปีก่อน, ฝูงบินนี้มีหน้าที่ปกป้องมนุษย์จากภัยร้ายเหนือธรรมชาติ เช่น Vampire, ปีศาจ, มาร, อสูร หรือเวทย์มนต์ร้าย
    ทว่า วิธีการทำงานของฝูงบินนี้ออกจะแตกต่างจากฝูงบินอื่นๆ อยู่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่พวกเธอต้องรับผิดชอบนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการทำลายภัยร้ายเหล่านั้นลงไป แต่บางครั้งมันต้องอาศัยความรู้ที่เหนือกว่าองค์ความรู้ทั่วๆ ไป
    มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ฝูงบินนี้จะต้องเอาตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับพลังเหนือธรรมชาติที่ชั่วร้ายเสียเอง
    ฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลงเมื่อ Liesa ได้ตกลงทำพันธะสัญญากับเจ้าจอมปีศาจที่ถูกเรียกว่า Buried Lord เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้, และ Avacyn ก็มองว่านี่คือพฤติกรรมที่เกินรับได้ เธอจึงเห็นว่าฝูงบิน Dusk นั้น เป็นพวกนอกรีต และกำจัดฝูงบินนี้ทิ้ง, รวมทิ้งปิดบังข้อมูลทั้งหมดจากประวัติศาสตร์ยุคหลัง

    แต่ทว่า Buried Lord นั้น ไม่มีวันตาย แฉกเช่นปีศาจตนอื่นๆ, แม้ว่าร่างของ Liesa จะถูกทำลายลงไปแล้ว แต่เมื่อ Buried Lord ได้ถูกอัญเชิญออกมา Liesa ที่มีพันธะสัญญากับมัน ก็ได้ฟื้นคืนชีวิตมาอีกครั้ง

 

Demon
ปีศาจ, ผู้สร้างความวินาศ
สีประจำเผ่า: ดำ-แดง

 

แรกเริ่มนั้น เหล่าปีศาจนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปากเท่านั้น

เพราะภัยร้ายที่เหล่ามนุษย์ยำเกรงมากกว่า อย่างเช่นพวก Vampire หรือ Werewolf นั้น ดูเป็นอันตรายต่อชีวิตพวกเขามากกว่า

แต่เมื่อ Avacyn ได้ปรากฏร่าง เธอได้เข้ามารักษาสมดุลระหว่างผู้ล่า และผู้ถูกล่า...

และมันก็กลายเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าปีศาจได้กลับมาอีกครั้ง, พวกมันจะออกมาจากประตูมิติที่บริเวณ Ashmouth โดยพวกมันจะมีระบบการปกครองเป็นระดับชั้น

โดยจะมีเจ้าจอมปีศาจ (Demon lord หรือ Archdemon) ที่เป็นผู้ปกครองสูงสุด

ตามปกติแล้ว พวกปีศาจของ Innistrad นั้น จะไม่ตายอย่างถาวร, เมื่อพวกมันถูกจัดการ มันจะสลายไปเป็นเพียงพลังงานมานา และกลับไปพักฟื้นที่มิติหลังประตู Ashmouth ก่อนที่จะกลับมาได้อีกครั้ง

Avacyn จึงมักจะใช้การกักขังพวกมันไว้ที่ Helvault แทนการสังหาร

แต่เมื่อ Emrakul รุกราน พวกปีศาจส่วนใหญ่ก็กลายไปเป็นร่างที่วิปริตจากพลังของ Eldrazi และเมื่อ Emrakul จากไป ว่ากันว่าพวกที่ร่างวิปริตทั้งหลาย ก็จะตายไป

คาดว่าในปัจจุบัน เหล่าปีศาจใน Innistrad เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว และแทบจะไม่ออกมาจากประตู Ashmouth ด้วยตนเอง นอกจากจะมีใครอัญเชิญออกมา

ปีศาจที่น่าสนใจใน Innistrad มีดังนี้

  • The Buried Lord: ปีศาจโบราณ ที่ทำพันธะกับนางฟ้า Liesa, และสัญญานั้นเอง เป็นเหตุให้ Liesa ที่ตายไปเมื่อพันปีก่อน กลับมายังโลกปัจจุบันได้อีกครั้ง
  • Shilengar: ปีศาจระดับ Demon Lord, มันเป็นปีศาจที่ทำให้เกิดสภาวะความอดยากที่ Innistrad และล่อลวงให้ Edgar Markov ปรุงยาเพื่อก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ ไปเป็น Vampire จนก่อกำเนิด Vampire ทั้งหมดใน Innistrad


Withengar

  • Withengar: ปีศาจทรงพลังที่ถูกผนึกอยู่ในมีดสั้นชื่อ Elbrus, มันเป็นปีศาจที่มีชื่อเสียงจากการสังหาร Traft หรือ Saint Traft นักบวชลัทธิ Avacyn ผู้เป็นนักล่าปีศาจฝีมือดี ที่อายุยังน้อย
    เขาถูกล่อลวงโดยพวกลัทธิ Skirsdag ที่บูชาปีศาจ ให้ใช้มีด Elbrus สังหารคนในลัทธิ ซึ่งมันคือการอัญเชิญ Withengar ออกมา
    เมื่อปีศาจตนนี้หลุดออกมา มันก็สังหาร Saint Traft ลง ก่อนที่ตัวของ Withengar เอง ก็ถูกสังหารโดยนางฟ้าในการดูแลของ Avacyn อีกที


Griselbrand

  • Griselbrand: ปีศาจระดับ Demon Lord, เคยเป็นจอมปีศาจที่นำทัพเหล่าปีศาจตนอื่นๆ จากประตู Ashmouth ก่อนที่จะถูกคุมขังไว้ใน Helvault โดย Avacyn, ซึ่ง Griselbrand ก็สามารถลากเธอเข้าไปในคุก Helvault ด้วยกัน
    ก่อนที่อดีตจะตามมาหลอกหลอนมัน, Liliana Vess ที่เป็น Planeswalker ผู้เคยทำพันธะปีศาจกับ Griselbrand เพื่อแลกพลังมหาศาลกับพลังชีวิตของ Liliana เอง ได้กลับมาสังหาร Griselbrand เพื่อหมายจะล้างหนี้พันธะนี้ลง
    ด้วยพลังที่ Liliana มี, Griselbrand น่าจะเป็นเพียงปีศาจตนเดียว ที่ถูกสังหาร และตายอย่างถาวร...


Ormendahl, Profane Prince

  • Ormendahl: ปีศาจระดับ Demon Lord, มันเป็นปีศาจอีกตนที่ถูกขังอยู่ใน Helvault ก่อนที่จะได้รับอิสระเมื่อ Helvault ถูกทำลายลง
    แม้ว่า Avacyn และเหล่านางฟ้า จะออกตามล่าปีศาจทั้งหลายทันที, แต่ Omendahl สามารถหลบซ่อนตัวที่ใต้มหาวิหารแห่ง Thraben จน Griselbrand ถูกสังหารลง
    และมันก็อาศัยช่วงเวลานี้ ขึ้นมาเป็นจอมปีศาจของลัทธิ Skirsdag
    แต่นั้นก็ช้าเกินไป เพราะอิทธิพลของ Emrakul ที่เข้ามา ทำให้ Omendahl ละความปรารถนาของตนเอง จนสุดท้ายต้องสูญเสียอำนาจ และต้องกลับไปพักฟื้นที่ Ashmouth อีกครั้ง
    ภายหลังเหตุการณ์ Travials นั้น มีความพยายามจะอัญเชิญ Omendahl อีกครั้ง แต่พลังของมันยังไม่สมบูรณ์ดี และแผนการนั่น ก็ล่มไม่เป็นท่า จากการขัดขวางโดยทหารศักดิ์สิทธิ์

 

 

นอกจากเผ่าพันธ์อื่นๆ ที่ส่งผลต่อหน้าประวัติศาสตร์ของ Innistrad แล้ว

ถ้าหากเรามองให้ลึกลงไปอีกขั้น โลกของ Innistrad นั้น ทุกๆ สิ่ง จะมีความเชื่อมโยงกับสิ่งหนึ่งเสมอ...

นั่นก็คือ มนุษย์ที่ Innistrad นั่นเอง

เผ่ามนุษย์ในเกมนั้น แม้ในแง่การออกแบบ เพื่อนๆ จะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาอยู่ในคู่สีขาว-เขียว

แต่สีที่ตามมาเป็นอันดับสามคือสีแดง ก่อนที่จะเป็นสีฟ้า และสีดำตามลำดับ

และนั่น ทำให้เผ่ามนุษย์นั้นเป็นเผ่าที่มีการ์ดครบทุกสี เพียงไม่กี่เผ่าใน Innistrad

มันจึงเป็นเรื่องน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ที่จะวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เชื่อมโยงพวกเขา เข้ากับเผ่าอื่นๆ อย่างมากครับ

 

  • สีขาว-ฟ้า: เชื่อมโยงกับเผ่า Spirit

การวิเคราะห์ของเรา มองว่าเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์จะเสียชีวิตลง แล้วกลายไปเป็นวิญญาณในนิยายแบบ Gothic, กระนั้น สิ่งที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นก็คือ เหล่าวิญญาณนั้น สามารถไปปรากฏตัวได้ในการ์ดทุกๆ สี เช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์

ซึ่งทำให้การ์ดแต่ละสีของเผ่าวิญญาณ จึงมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น

  • ในการออกแบบการ์ดวิญญาณที่มีสีขาวของ Innistrad นั้น มักจะเชื่อมโยงไปเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ หรือวิญญาณฝ่ายดีนั่นเอง, พวกเขาอาจจะเป็นบรรพบุรุษที่ติดห่วงปกป้องครอบครัว หรือเป็นทหารที่ยังยึดติดกับหน้าที่
    พวกเขาจะเกิดขึ้นจากความเป็นห่วง, หน้าที่ หรือความรัก
  • วิญญาณสีฟ้า: จะเป็นวิญญาณประเภทผีรำคาญ, พวกเขาเป็นวิญญาณที่เชื่อมโยงกับสภาวะทางจิตใจ และมักจทำอะไรในรูปแบบเดิมๆ ซ้ำๆ เช่น การพูดคำเดิมๆ, ส่งเสียงเคาะประตูซ้ำๆ, จัดข้าวของให้อยู่ที่เดิมเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์
    นอกจากนั้น พวกเขามักจะตามหาแหล่งน้ำ, พายุ หรือหมอก
  • วิญญาณสีดำ: เป็นวิญญาณชั่วร้ายที่ถวิลหาพลังอำนาจ พวกมันมักจะสร้างปัญหาเพื่อเรียกหาของบูชา ไม่ว่าจะเป็นเพียงอาหาร, เงินทอง หรืออาจจะเป็นเลือด
  • วิญญาณสีแดง: พวกนี้จะเป็นวิญญาณที่เชื่อมโยงกับอารมณ์, ความรู้สึกที่ไม่ได้ถูกเติมเต็ม หรืออยากจะกลับมาแก้แค้น แต่พวกวิญญาณสีแดงนั้น มักจะไม่ก่อตัวเป็นรูปร่างที่เห็นได้ชัด, บางครั้งก็มาในรูปแบบที่กระทบกับการเคลื่อนไหวของโลกจริง เช่นพายุหมุนขนาดย่อมๆ เพียงชั่วครู่, หรือรอยเลือดที่ไหลออกมาจากรูปปั้น
    เวลาที่พวกวิญญาณสีแดงก่อร่าง พวกมันจะเป็นกลุ่มพลังงานคล้ายไฟ หรือละอองเลือดที่ลอยอยู่, มันจะโจมตีเหยื่อด้วยการเข้าไปล้อม และทิ้งบาดแผลคล้ายรอบเฉือนไว้กับเหยื่อ
  • วิญญาณสีเขียว: เป็นพวกวิญญาณที่อยากเอาตัวเองเข้าไปเชื่อมโยงกับพลังของธรรมชาติ เช่น วิญญาณจากต้นไม้ หรือสัตว์อื่นๆ, วิญญาณเหล่านี้มักจถูกเรียกใช้งานโดยจอมเวทย์ เพื่อมาเป็นเวทย์ปกป้อง
    กระนั้น ถ้าหากวิญญาณธรรมชาติไม่ยินดี พวกเขาก็สามารถทำให้พื้นดินขาดแร่ธาตุ และเกิดภาวะอาหารขาดแคลนได้

จากข้อมูลดังกล่าว เพื่อนๆ จะพอเห็นว่า วิญญาณนั้นเป็นส่วนของความคิด และจิตใจของมนุษย์ก่อนที่จะตายไป และมันก็ส่งผลให้เมื่อกลายเป็นวิญญาณแล้ว พวกเขาจะถูกครอบงำด้วยความคิดแบบไหน และจะมีพฤติกรรมอย่างไร

 

  • สีเขียว-แดง: เชื่อมโยงกับเผ่า Werewolf

การวิเคราะห์ของเรา ที่มาของเผ่า Werewolf ก็คือมนุษย์ที่ถูกสาปนั่นเอง

สีเขียวนั้นเชื่อมโยงในการออกล่าเพื่อดำรงชีวิต ในขณะที่สีแดงจะเป็นจะเป็นความกระหายในการล่า เหล่า Werewolf จึงเป็นเผ่าที่ออกล่าเพื่อการเอาตัวรอด แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความรุนแรง และดิบเถื่อน

และ Werewolf เอง ก็เป็นสัญญะของความเดือดดาลของมนุษย์อีกด้วย

ในทางกลับกันพวก Werewolf เอง ยังได้รับการถ่ายทอดหลายๆ อย่างมาจากมนุษย์ เช่นการออกล่าเป็นฝูง, ระบบสังคม ทั้งๆ ที่พวก Werewolf ไม่มีสีขาวอยู่ในชุดสีเลย

 

  • สีแดง-ดำ: เชื่อมโยงกับเผ่า Vampire

การวิเคราะห์ของเรา ที่มาของเผ่า Vampire ในปัจจุบันนั้น มาจากการถูกคัดสรรจากผู้ที่เป็น Vampire มาก่อน, และถ้าย้อนไปที่จุดเริ่มต้นนั้น Vampire เป็นผลจากการทดลอง และเวทย์มนต์ ที่เปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาๆ ให้กลายเป็น Vampire

ซึ่ง Vampire นั้น เป็นสัญญะของราคะ และตันหาของมนุษย์ สังเกตุได้จากการออกล่าแต่ละครั้ง พวกมันไม่ได้ล่าเพื่อประทังชีวิตเพียงเท่านั้น เพราะเลือดของมนุษย์นั้น เปรียบได้ดั่งรสของไวน์ชั้นดี เลือดที่เก็บไว้ก็เสียรสชาด... เลือดของสัตว์อื่นๆ ก็รสไม่ชวนกิน... พวก Vampire จึงเป็นเลือกจะล่าเพื่อสนองตันหาล้วนๆ

 

  • สีดำ-ฟ้า: เชื่อมโยงกับเผ่า Zombie

การวิเคราะห์ของเรา นี่เป็นอีกหนึ่งเผ่า ที่เหมือนกับทางเผ่า Spirit คือพวกเขาเชื่อมโยงกับการตายของเผ่ามนุษย์ สิ่งที่แตกต่างก็คือ ในขณะที่วิญญาณนั้น แทบจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นจากผู้เสียชีวิตยังติดบ่วงของโลกคนเป็นอยู่

เหล่า Zombie นั้น กลับเป็นเพียงซากศพที่ไร้จิตใจ พวกมันก่อกำเนิดได้สองกรรมวิธี... และมันก็เป็นสองวิธีที่แบ่งสีของการ์ดอีกด้วย

พวก Zombie สีดำนั้น จะเกิดจากไสยเวทย์ หรือที่เรียกว่า Necromancy, พวกนี้จะเป็นการใช้เวทย์มนต์ปลุกศพขึ้นมา ร่างดั้งเดิมเป็นแบบไหน ก็มักจะเป็นแบบนั้น

ในขณะที่ Zombie สีฟ้า จะเกิดจากวิทยาศาสตร์ หรือที่ Innistrad จะเรียกว่า Necro-Alchemy พวกนี้จะเป็นการเอาอวัยวะต่างๆ ของศพ และเครื่องจักรกลมากมาย มาทำให้พวกมันกลับมาชีวิตอีกครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะเห็นศพเหล่านี้บินได้ หรือมีขนาดใหญ่เท่าตึกย่อมๆ

 

และทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องราวของโลกแห่ง Innistrad ที่พวกเรารวบรวมมาเสริมความเข้าใจให้กับเพื่อนๆ

ทั้งนี้ เรื่องราวของ Innistrad ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ทางเราต้องขอละไว้บางส่วน เพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวเกินไป ต้องขออภัยข้อมูลที่อาจจะไม่ครบถ้วนมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

 


 

 

ขอขอบคุณ

MTG Wiki (Innistrad)

Planeswalker's guide to Innistrad: Introduction

Planeswalker's guide to Innistrad: Gavony

Planeswalker's guide to Innistrad: Kessig

Planeswalker's guide to Innistrad: Nephalia

Planeswalker's guide to Innistrad: Stensia

Planeswalker's guide to Innistrad: Midnight Hunt