ITC Mission ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นฟอร์แมตกลางในการแข่งขัน จึงลดทอนความ RNG (การสุ่มต่างๆ) ของเกมให้มากที่สุด สร้างความเสมอภาคระหว่างผู้เล่นทั้งสองฝ่าย และให้ความสำคัญกับการวางแผนและการตัดสินใจขณะเล่น ในขณะที่ภารกิจของ ITC ทำให้การเล่นมีมิติมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเล่นแบบ ITC ได้รับความนิยมในหมู่ผู้เล่น Warhammer 40,000 ทั่วโลก

 

ITC Mission (updated 2-27-20 v.2.0)

        ITC Mission ประกอบด้วย 2 ภารกิจด้วยกัน คือ ภารกิจหลัก (Primary mission) ที่เป็นภารกิจตายตัวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และ ภารกิจรอง (Secondary mission) ที่คุณสามารถเลือก 3 ภารกิจที่เหมาะสมกับกองทัพของคุณ คู่แข่งและวิธีการเล่นที่คุณต้องการ

        ผลแพ้ชนะของการเล่นจะตัดสินจากคะแนนรวมที่ได้จากการทำ Primary Mission, Secondary Mission และ Bonus Mission เมื่อจบ Battle Round ที่ 6 หรือเมื่ออีกฝ่ายไม่มี Model เหลือบนสนาม

ตัวอย่างการบันทีกคะแนนสำหรับการเล่น ITC (คลิกที่นี่เพื่อ download เอกสารใบบันทึกคะแนน)

 

ในกรณีที่ผู้เล่นยอมแพ้ (Concede) หรือไม่มีโมเดลเหลือบนสนาม
        ผู้เล่นคนดังกล่าวจะเป็นฝ่ายแพ้และได้คะแนนเท่ากับจำนวนที่คะแนนที่มี ณ เวลานั้น สำหรับผู้ชนะจะได้รับคะแนนจากภารกิจประเภททำลายทั้งหมด เช่น Marked for Death, Kill, Kill more เป็นต้น และให้เล่นในเทิร์นที่เหลือต่อเพื่อทำคะแนนจากภารกิจอื่นๆ จนจบ Battle Round ที่ 6

 

Primary Mission

        ผู้เล่นจะได้คะแนนจากการทำ Primary Mission ในทุก ๆ Battle Round ที่เล่นโดยมีเกณณ์การคิดคะแนนดังนี้

เมื่อจบ Turn ของผู้เล่นแต่ละคน ให้เจ้าของ Turn ตรวจสอบว่าใน Turn นั้นได้ยึด Objective หรือทำลาย Unit ฝ่ายตรงข้ามหรือไม่

  • ภารกิจ Hold: ถ้าเจ้าของ Turn สามารถยึด Objective ได้ 1 หรือมากกว่าได้ 1 คะแนน
  • ภารกิจ Kill: ถ้าเจ้าของ Turnสามารถทำลาย unit ฝ่ายตรงข้ามได้ 1 unit หรือมากกว่าได้ 1 คะแนน

หมายเหตุ การทำลาย Unit ฝ่ายตรงข้ามจากการ Overwatch หรือ Fight back ที่ไม่ได้อยู่ในเทิร์นของตัวเองจะไม่ถูกคิดคะแนนในภารกิจ Kill เพราะภารกิจนี้คิดคะแนนเฉพาะการทำลายในเทิร์นของตัวเองเท่านั้น

เมื่อจบ Battle Round ให้ผู้เล่นแต่ละคนนับจำนวน Objective ที่ยึดและจำนวนยูนิตที่ถูกทำลายของฝ่ายตรงข้าม

  • Hold More: ผู้เล่นที่สามารถยึด Objective ได้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามได้ 1 คะแนน
  • Kill More: ผู้เล่นที่สามารถทำลาย unit ได้มากกว่าฝ่ายตรงข้ามได้ 1 คะแนน

 

ตัวอย่างการคิดคะแนนของ Primary Mission

ผู้เล่น A ได้เริ่มเล่นก่อนฺ

เริ่ม Battle Round ที่ 1

เริ่มเทิร์นของผู้เล่น A: ในเทิร์นนี้ผู้เล่น A ยึด Objective ได้ 3 จุดแต่ไม่สามารถทำลายยูนิตฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่ยูนิตเดียว เมื่อจบเทิร์นให้คิดคะแนนเฉพาะของผู้เล่น A ซึ่งได้ 1 คะแนนจากภารกิจ Hold
เริ่มเทิร์นของผู้เล่น ฺB: ผู้เล่น B สามารถยึด Objective ได้ 2 จุด ทำลายยูนิตฝ่ายตรงข้ามได้ 1 ยูนิต แต่ยูนิตของตัวเองถูกทำลายจากการ Overwatch และ Fight back 2 ยูนิต เมื่อจบเทิร์นให้คิดคะแนนเฉพาะของผู้เล่น B ซึ่งได้ 2 คะแนน (1 คะแนนจากภารกิจ Hold และ 1 คะแนนจากภารกิจ Kill)

เมื่อผู้เล่นทั้งสองฝ่ายเล่นครบจะถือว่าจบ Battleround:

ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายตรวจสอบจำนวน Objective ที่ยึดได้และยูนิตของฝ่ายตรงข้ามที่ถูกทำลาย
ผู้เล่น A สามารถยึด Objective ได้ 3 จุด และทำลายยูนิตของผู้เล่น B 2 ยูนิต (0 ยูนิตในเทิร์นตัวเองและ 2 ยูนิตในเทิร์นของผู้เล่น B)

ผู้เล่น ฺB สามารถยึด Objective ได้ 2 จุด และทำลายยูนิตของผู้เล่น A 1 ยูนิต (1 ยูนิตในเทิร์นตัวเอง)
ดังนั้น ผู้เล่น A จะได้คะแนนเพิ่มอีก 2 คะแนนจากภารกิจ Hold More และภารกิจ Kill More

 

Secondary Mission

        ก่อนที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะเริ่ม Deploy ให้ผู้เล่นแต่ละคนเลือก Secondary mission 3 ภารกิจไม่ซ้ำกัน โดยเลือกพร้อมกันและไม่ให้อีกฝ่ายรู้ เมื่อทั้งสองฝ่ายเลือกเสร็จแล้วให้บอกกับอีกฝ่ายว่าเลือกภารกิจไหนและเป้าหมายคือโมเดลหรือยูนิตไหน การเลือก Secondary Mission มีเงื่อนไขดังนี้

  • ภารกิจที่หนึ่ง   ต้องมาจากภารกิจในหมวด Seek and Destroy (ภารกิจเน้นการทำลายยูนิตฝ่ายตรงข้าม)
  • ภารกิจที่สอง   ต้องมาจากภารกิจในหมวด Maneuvers (ภารกิจเน้นการยึด Objective)
  • ภารกิจที่สาม   ให้เลือกภารกิจจากหมวดใดก็ได้ หรือจะเลือกภารกิจ Old School

        Secondary Mission แต่ละภารกิจสามารถทำคะแนนได้มากที่สุดเท่ากับ 4 คะแนน 

ตัวอย่างการคิดคะแนนของ Secondary Mission

ผู้เล่น A เลือกภารกิจ Mark for Death, Big Game Hunter และ The Reaper*
     ในขณะที่เล่น ผู้เล่น A สามารถทำลาย Plagueburst Crawler ซึ่งเป็นเงื่อนไขของทั้ง 3 ภารกิจที่เลือก

     ผู้เล่น A จึงต้องเลือกว่าผลจากการทำลายยูนิตดังกล่าวจะนำไปคิดคะแนนให้กับภารกิจไหนระหว่าง Mark for Death และ Big Game Hunter (ไม่มีเครื่องหมาย * ทั้งคู่) ถ้าผู้เล่นเลือก Mark for Death ก็จะได้ 1 คะแนนจากภารกิจนี้แต่ไม่ได้คะแนนซ้ำจาก Big Game Hunter

     นอกจากนั้นจำนวนโมเดลที่ทำลายได้ในภารกิจ The Reaper* จะเพิ่มขึ้น 1 โมเดล (นำมาคิดเพราะเป็นภารกิจ * ที่สามารถคิดคะแนนซ้ำกับภารกิจอื่นได้)

 

ภารกิจหมวด Seak and Destroy

การนับคะแนนสำหรับภารกิจในหมวดนี้จะนับแค่ 1 ภารกิจต่อ 1 ยูนิตฝ่ายเราที่สร้างความเสียหายหรือทำลาย 1 ยูนิตของฝ่ายตรงข้าม

เช่น ถ้าการทำลายยูนิตฝั่งตรงข้ามสามารถนับคะแนนให้กับภารกิจ Headhunter และ Marked for Death ผู้เล่นจะต้องเลือกว่าจะนับคะแนนให้ 1 ภารกิจเท่านั้น

1. Headhunter

ได้ 1 คะแนนจากการทำลายยูนิตฝ่ายตรงข้ามที่เป็น Character (1 ยูนิตได้ 1 คะแนน)

 

2. Born for Greatness   New Mission !!!

เลือก 1 ยูนิตที่เป็น Character และมีเพียงแค่ 1 โมเดลในยูนิต 

ผู้เล่นจะได้คะแนนจากการที่ยูนิตนี้สามารถทำภารกิจต่อไปนี้สำเร็จ (1 ภารกิจได้ 1 คะแนน และไม่สามารถได้คะแนนจากภารกิจเดิม)

  • ทำลายยูนิตฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ได้เป็น Character
  • ทำลายยูนิตฝ่ายตรงข้ามที่เป็น Character
  • Deny ความสามารถ Psychic power ของฝ่ายตรงข้าม
  • ยึดจุด Objective ที่ไม่ได้อยู่ใน Deployment zone ของคุณ
  • ทำ Heroically intervene เข้าหายูนิตของฝ่ายตรงข้าม
  • ตอนเริ่มและจบ Battle Round มีฐาน(ทุกส่วน) อยู่ใน Deployment zone ของฝั่งตรงข้าม

 

3. Marked for Death  New Update !!!

เลือกยูนิตฝ่ายตรงข้ามที่มีแต้มมากกว่าหรือเท่ากับ 120 แต้ม (รวม Wargear) จำนวน 4 ยูนิต ผู้เล่นจะได้ 1 คะแนนจากการทำลายแต่ละยูนิตที่เลือก

 

4. Gang Busters   New Update !!!

ได้ 1 คะแนนจากทุก ๆ ความเสียหาย 6 wound จากยูนิตที่ไม่ใช่ Troops ของฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนมากกว่า 1 โมเดล (เฉพาะตอนเริ่มเกม)  และแต่ละโมเดลมีค่า Wound มากกว่าหรือเท่ากับ 3 (ยกเว้นยูนิตที่มี keyword Vehicle, Swarm และ Monster)

หมายเหตุ ยูนิตที่ถูกนับคะแนนให้ภารกิจนี้ จะไม่สามารถนำไปนับคะแนนกับภารกิจอื่นในหมวด Seek and Destroy

 

5. Big Game Hunter   New Update !!!

ได้ 1 คะแนนทุก ๆ ความเสียหาย 10 wound จากยูนิตของฝ่ายตรงข้ามที่มี keyword Monster, Titanic หรือ Vehicle และมีค่า Wound มากกว่าหรือเท่ากับ 7 ในกรณีที่เป้าหมายสามารถฟื้นค่า Wound ได้ ให้คิดคะแนนจากจำนวน Wound ทั้งหมดที่ยูนิตสูญเสียตลอดทั้งเกม

Tips ในกรณีที่เล่นกับทัพที่มี Vehicle หรือ Monster จำนวนมาก ภารกิจนี้จะคล้ายคลึงกับ Marked for Death แต่ยืดหยุ่นกว่า เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเลือกเป้าหมายก่อนเริ่มเกมทำให้สามารถเลือกทำลายโมเดลขอฝ่ายตรงข้ามตามสถาณการณ์

 

6. The Butcher's Bill

ได้ 1 คะแนนจากการทำลายยูนิต ของฝ่ายตรงข้ามมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ยูนิตในแต่ละเทิร์นของคุณ

 

7. The Reaper   New Update !!!

ได้ 1 คะแนนจากทุก ๆ ความเสียหาย 20 Wound ของโมเดลประเภท Infantry, Swarms, Bikers หรือ Drone ที่ถูกทำลาย ในกรณีที่โมเดลนั้น ๆ ถูกนำกลับมาในสนามจะไม่ส่งผลต่อจำนวนที่นับไว้ และเมื่อโมเดลดังกล่าวถูกทำลายให้นับจำนวนโมเดลเพิ่มเหมือนเป็นโมเดลใหม่

หมายเหตุ ยูนิตที่ถูกนับคะแนนให้ภารกิจนี้ จะไม่สามารถนำไปนับคะแนนกับภารกิจอื่นในหมวด Seek and Destroy

 

ภารกิจหมวด Maneuver

1. Recon   New Update !!!

  • เมื่อจบเทิร์นของคุณ จะได้ 1 คะแนนถ้ามีอย่างน้อยหนึ่งยูนิตในแต่ละ Quarter ของสนาม
  • ตั้งแต่เทิร์นที่ 2 เมื่อจบเทิร์นของคุณ จะได้ 2 คะแนนถ้ามี 2 ยูนิตในแต่ละ Quarter ของสนาม

หมายเหตุ Quarter คือบริเวณที่เกิดจากการแบ่งสนามออกเป็น 4 ส่วน และ 1 ยูนิตจะถูกนับให้อยู่แค่ 1 Quarter เท่านั้น (เพียงแค่ฐานของโมเดลแตะบริเวณ Quarter นั้นๆ จะถือว่ายูนิตนั้นสามารถอยู่ใน Quarter ดังกล่าว)

 

ในกรณีนี้ผู้เล่นต้องเลือกให้ยูนิต Imperial Knight สีแดงให้อยู่ใน Quarter ใดระหว่าง 1 และ 2 ถ้าผู้เล่นเลือกให้อยู่ใน Quarter 1 จะได้ 1 คะแนนจากภารกิจ Recon

 

2. Behind Enemy Lines   New Update !!!

  • เมื่อจบเทิร์นของคุณจะได้ 1 คะแนน ถ้ามียูนิตของผู้เล่นอย่างน้อย 1 ยูนิตที่ไม่ใช่ Flyer (Battlefield role) และทุกโมเดลมีฐาน (ทุกส่วน) อยู่ใน Deployment Zone ของฝ่ายตรงข้าม 
  • ตั้งแต่เทิร์นที่ 2 เมื่อจบเทิร์นของคุณจะได้ 2 คะแนน ถ้ามียูนิตของผู้เล่นอย่างน้อย 3 ยูนิตที่ไม่ใช่ Flyer (Battlefield role) และทุกโมเดลมีฐาน (ทุกส่วน) อยู่ใน Deployment Zone ของฝ่ายตรงข้าม

 

3. Ground Control   New Update !!!

  • ได้ 1 คะแนนต่อจำนวน Objective ที่ยึดได้เมื่อจบ Battle Round สุดท้ายที่เล่น
  • ได้ 4 คะแนนถ้าสามารถยึดทุก Objective ในสนามเมื่อจบ Battle Round สุดท้ายที่เล่น

 

4. King of the Hill   New Update !!!

  • ผู้เล่นจะได้ 1 คะแนน เมื่อจบ Battle Round มี 2 ยูนิตหรือมากกว่าที่ไม่ใช่ Character และแต่ละ Unit มีมากกว่า 1 โมเดล (เฉพาะตอนเริ่มเกม) หรือยูนิต Titanic อยู่ภายใน 9 นิ้วจากศูนย์กลางของสนาม (ทุกส่วนของฐานของทุกโมเดลต้องอยู่ภายใน 9 นิ้ว)
  • ตั้งแต่ Battle Round ที่ 2 ผู้เล่นจะได้ 2 คะแนน เมื่อจบ Battle Round มี 4 ยูนิตหรือมากกว่าที่ไม่ใช่ Character และแต่ละ Unit มีมากกว่า 1 โมเดล (เฉพาะตอนเริ่มเกม) หรือยูนิต Titanic อยู่ภายใน 9 นิ้วจากศูนย์กลางของสนาม (ทุกส่วนของฐานของทุกโมเดลต้องอยู่ภายใน 9 นิ้ว)

 

5. Engineers   New Update !!!

เลือก 2 ยูนิตที่ไม่ใช่ Character และ Fortification ให้เป็น Engineers

  • ตั้งแต่ Battle Round ที่ 2 ผู้เล่นจะได้ 1 คะแนน เมื่อ Engineer อย่างน้อยหนึ่งยูนิตอยู่ภายใน 3 นิ้วของ Objective ที่ยึดได้ ตั้งแต่เริ่มจนจบเทิร์นและไม่ได้โจมตีหรือใช้ Psychic
  • ตั้งแต่ Battle Round ที่ 2 ผู้เล่นจะได้ 2 คะแนน เมื่อ Engineer ทั้งสองอยู่ภายใน 3 นิ้วของ Objective 2 จุดที่ยึดได้และอยู่คนละตำแหน่งกัน (หนึ่งในนั้นต้องอยู่ภายนอก Deployment zone ของจนเอง) ตั้งแต่เริ่มจนจบเทิร์นและไม่ได้โจมตีหรือใช้ Psychic

หมายเหตุ 

  • ถ้ายูนิต Engineers ถูกแบ่งออกเป็นหลายยูนิตย่อยหรือถูกนำไปรวมกับยูนิตอื่น ยูนิตเหล่านั้นจะสูญเสียความสามารถของ Engineers
  • Engineers จะไม่ได้รับ Benefit จากกฎที่ป้องกันไม่ให้เป็นเป้าของการโจมตี เช่น Stratagem “Cloud of Files” ที่จะไม่สามารถ Target ได้ถ้าไม่ใช่ยูนิตที่ใกล้ที่สุด (ุแต่ยังสามารถใช้ Terrain เพื่อหลบ Line of Sight)

Tips ยูนิตที่เป็น Engineer ควรจะมีความอึดสูงและมีหน้าที่แค่เฉพาะยึด Objective เท่านั้นและต้องระวังไม่ให้ถูก Charge ได้ เนื่องจาการ Fight back จะถือว่าเป็นการโจมตีและ Engineer จะสูญเสียความสามารถในการทำคะแนนทันที

 

6. Sappers   New Mission !!!

เลือก 2 ยูนิตที่ไม่ใช่ CharacterFortification su Flyer ให้เป็น Sappers

  • เมื่อจบเทิร์นของคุณ ถ้ายูนิตที่เป็น Sappers ไม่ได้โจมตีหรือใช้ Psychic และอยู่ในระยะ 3 นิ้วของ Objective ที่อยู่นอก Deployment zone ของคุณ (ไม่จำเป็นต้องยึด) Sapper ยูนิตนั้นจะทำให้ Objective ดังกล่าวอยู่ในสถานะ "Unscorable"
  • สถานะ "Unscorable" จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถได้คะแนน Primary และ Secondary จาก Objective นี้
  • ถ้า Sappers ถูกทำลาย ไม่อยู่ในระยะ 3 นิ้วของ Objective ทำการโจมตีหรือใช้ Psychic power  แล้วสถานะ "Unscorable" ของ Objective จะหายไป
  • เมื่อจบเทิร์นของคุณจะได้ 1 คะแนนถ้า Sappers ทำให้ Objective อยู่ในสถานะ "Unscorable"
  • ตั้งแต่เทิร์นที่ 2 เมื่อจบเทิร์นของคุณจะได้ 2 คะแนนถ้า Sappers ทำให้ Objective อยู่ในสถานะ "Unscorable" 2 ตำแหน่งหรือมากกว่า

หมายเหตุ 

  • ถ้ายูนิต Sappers ถูกแบ่งออกเป็นหลายยูนิตย่อยหรือถูกนำไปรวมกับยูนิตอื่น ยูนิตเหล่านั้นจะสูญเสียความสามารถของ Sappers
  • Sappers จะไม่ได้รับ Benefit จากกฎที่ป้องกันไม่ให้เป็นเป้าของการโจมตี แต่ยังสามารถใช้ Terrain เพื่อหลบ Line of Sight 

 

7. The Postman   New Mission !!!

เลือก 1 โมเดล (เป็นส่วนหนึ่งของยูนิตได้) ที่ไม่ใช่ Vehicle, Monster หรือ Titanic เป็น The Postman ซึ่งสามารถรวบรวมข้อมูลจาก Objective ได้ (ข้อยกเว้น: Imperial Knighs และ Chaos Knights สามารถเป็น The Postman ได้)

  • เมื่อจบเทิร์นของคุณจะได้ 1 คะแนน จากการรวบรวมข้อมูลจาก Objective ถ้า The Postman อยู่ในระยะ 3 นิ้วของ Objective ที่คุณยึดได้ (สามารถรวบรวมข้อมูลได้ 1 ครั้งต่อ 1 Objective ตลอดทั้งเกม)
  • เมื่อจบเกม ถ้าผู้เล่นรวบรวมข้อมูลจากทุก Objective สำเร็จจะได้ 4 คะแนน

 

ภารกิจ Old School

ได้ 1 คะแนน ก็ต่อเมื่อทำภารกิจย่อยเหล่านี้สำเร็จ (ภารกิจย่อยได้คะแนนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น)

  • First Strike: ทำลายยูนิตของฝ่ายตรงข้ามใน Battle Round ที่หนึ่ง
  • Slay the Warlord: สามารถทำลาย Warlord ของฝ่ายตรงข้ามเมื่อเกมจบ
  • Linebreaker: มีโมเดลอย่างน้อย 1 โมเดลที่มีฐานแตะหรืออยู่ใน Deployment Zone ของฝ่ายตรงข้ามเมื่อจบเกม
  • Last Strike: ทำลายยูนิตของฝ่ายตรงข้ามใน Battle Round สุดท้ายที่เล่น

 

Bonus Mission

คะแนน Bonus จะได้จากการทำภารกิจ Bonus Mission ซึ่งแตกต่างกันตาม Scenario

เช่น Scenario 1: Seize Groud ผู้เล่นจะได้คะแนน Bonus เมื่อ Hold หรือ Contest มากกว่าหรือเท่ากับ4 Objective เมื่อจบเทิร์นของผู้เล่นคนนั้น

 

Scenario 1: Seize Ground            
            

ผู้เล่นวาง objective 6 ตำแหน่งตามรูป

Bonus Point: ได้ 1 คะแนน เมื่อจบเทิร์นของผู้เล่น ถ้าผู้เล่นคนนั้นยึดหรือ Contest Objective มากกว่าหรือเท่ากับ 4 ตำแหน่ง

         
Scenario 2: Cut to the Heart    
     

ผู้เล่นวาง objective 3 ตำแหน่ง ดังนี้
- ผู้เล่นแต่ละคนเริ่มจากฝ่าย Attacker วาง Objective 1 อันไว้ใน Deployment Zone ของคุณ ให้ห่างจากขอบสนาม 6 นิ้วและ Objective อื่น 12 นิ้ว
- วาง Objective 1 อันไว้ตรงกลางสนาม

Bonus Point: ได้ 1 คะแนน เมื่อจบเทิร์นของผู้เล่น ถ้าผู้เล่นคนนั้นสามารถยึด Objective กลางสนามและใน Deployment Zone ของคุณ

         
Scenario 3: Nexus Control    
     

ผู้เล่นวาง objective 4 ตำแหน่ง ดังนี้
Objective#1 และ #2: ผู้เล่นแต่ละคนเริ่มจากฝ่าย Defender วาง Objective คนละ 1 อันห่างจาก Deployment Zone ของทั้งสองฝ่าย 6 นิ้ว ห่างจากขอบสนาม 6 นิ้ว และ Objective อื่น 12 นิ้ว
Objective#3 และ #4: ผู้เล่นแต่ละคนเริ่มจากฝ่าย Attacker วาง Objective คนละ 1 อันใน Deployment Zone ของคุณให้ห่างจากขอบสนาม 6 นิ้ว และ Objective อื่น 12 นิ้ว

Bonus Point: ได้ 1 คะแนน ถ้าผู้เล่นยึด Objective #1 และ #2 (2 อันที่ไม่ได้อยู่ใน Deployment Zone ของทั้งสองฝ่าย)

         
Scenario 4: What’s Yours Is Mine    
      ผู้เล่นวาง objective 5 ตำแหน่ง ดังนี้
- วาง Objective 1 อันไว้ตรงกลางสนาม
Objective#2 และ #3: ผู้เล่นแต่ละคนเริ่มจากฝ่าย Defender วาง Objective คนละ 1 อัน ตรงไหนก็ได้ในสนาม ห่างจากขอบสนาม 6 นิ้ว และ Objective อื่น 12 นิ้ว
Objective#4 และ #5: หลังจากนั้นผู้เล่นแต่ละคนวาง Objective 1 อันใน Deployment Zone ของฝ่ายตรงข้าม ห่างจากขอบสนาม 6 นิ้ว และ Objective อื่น 12 นิ้ว

Bonus Point:  ได้ 1 คะแนนถ้าผู้เล่นยึด Objective ทั้ง 2 จุด ที่คุณวางบนสนาม (หนึ่งอันที่วางในตรงก็ได้และอีกหนึ่งอันที่วางใน Deployment Zone ฝ่ายตรงข้าม)

         
Scenario 5: Precious Cargo    
     

- ผู้เล่นวาง objective 5 ตำแหน่ง ตามรูป
- ก่อนเริ่ม Deploy ให้ผู้เล่นแต่ละคน โดยเริ่มจากฝ่าย Defender ให้เลือก Objective 1 อันเป็น Priority Objective (ห้ามเป็น Objective ที่อยู่กลางสนาม)
- เริ่มจากผู้เล่นฝ่าย Defender ให้ย้าย Priority Objective ของคุณไปทิศทางไหนก็ได้ไม่เกิน 6 นิ้วจากจุดเดิมและห่างจากขอบสนาม 6 นิ้วและ Objective อื่น 12 นิ้ว

Bonus Point:  ได้ 1 คะแนน ถ้าผู้เล่นยึด Priority Objective ของฝ่ายตรงข้ามเมื่อจบเทิร์นของผู้เล่นคนนั้น หรือยึด Objective ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ตำแหน่ง

         
Scenario 6: Crucible of Champions    
     

ผู้เล่นวาง objective 5 ตำแหน่ง ตามรูป

Bonus Point:  ได้ 1 คะแนน ถ้าผู้เล่นมี 3 โมเดลที่เป็น Character อยู่ในระยะ 3 นิ้วของ Objective 3 ตำแหน่งที่แตกต่างกันเมื่อจบเทิร์นของผู้เล่นคนนั้น