-  ในส่วนลึกของ CALDAIA -

 

อีกด้านของอิสระภาพ Vivien ทบทวนถ้อยคำของ Tezeret อย่างเงียบๆ

 

มันอาจจะมีความหมายหลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อมันออกมาจากปากคนอย่าง Tezzeret

เมื่อทั้งคู่อยู่กันคนละฝ่ายใน War of the Spark และถึงแม้เธอจะไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อน แต่เรื่องราวของเขาก็มากพอที่จะทำให้เธอเข้าใจชายผู้นี้

เป็นที่รู้กันดีว่า Tezeret เก่งในเรื่องเอาตัวรอด, ซึ่งหมายความว่านี่เป็นเรื่องเสี่ยงสุดๆ ที่ Vivien ยอมตามเขามาทั้งที่พบกันครั้งแรก

Vivien ปรับสายยึดคันธนูของเธอ โดยถือคันธนูไว้เพื่อทรงตัว ในขณะที่พวกเธอโดดลงบนคานที่ห้อยอยู่เหนือเหวที่แทบมองไม่เห็นเบื้องล่าง มันปล่อยควันสีแดงออกมาบอก ว่านี่เป็นเขตอุตสาหกรรมของ New Capenna. 

Tezzeret เหลือบมองกลับมาในตอนที่เธอร่อนลงมาข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบเมื่อเทียบกับเสียงโลหะ ที่ดังทุกครั้งตอนเขากระโดด

เสื้อโค้ทที่ Tezzeret สวมใส่ช่วยปกปิดร่างกายส่วนใหญ่ของเขา 

แต่เพียง Vivien ได้ยินเสียง เธอคิดว่าร่างกายของเขาคงถูกห่อหุ้มด้วยโลหะบางชนิด

ในระหว่างนั้นเธอก็พยายามมองหาที่ปักลูกศรบนตัวเขา เผื่อเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ 

“นายจะบอกได้รึยังว่าจะพาฉันไปไหน?” พวกเขาเริ่มออกห่างจากตัวเมือง Vivien ก็เริ่มสงสัยมากขึ้น และรู้ดีว่าตอนนี้พวกเธอออกห่างจากฝูงชนมากขึ้น หรือนี่จะเป็นกับดัก?

“เดี๋ยวเจ้าก็จะเห็นเอง” เขาเดินต่อไปบนคานยาว ผมเปียสีเทาสยายออกไปข้างหลังของเขา

“นายพูดเก่งแบบนี้ตลอดหรอ?” Vivien ประชด

“เห็นข้าเป็นพวกปากมากงั้นรึ?” เขาปฏิเสธ “และข้าคิดว่าเจ้าก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน”

“แล้วนายรู้อะไรเกี่ยวกับฉันบ้างละ” เธอทำเป็นไม่สนใจการกวนประสาทของเขา

“ข้าแค่ทำหน้าที่ของข้าในการเรียนรู้เกี่ยวกับผู้คน โดยเฉพาะพวก Planeswalkers, ทำไมถึงไม่เรียกข้าว่าผู้รอบรู้ล่ะ ?”

 

เธอยังคงกังวล แต่ไม่ได้ระวังอะไรมากนัก, แม้เขาจะไม่ค่อยพูด เธอก็ไม่ได้สัมผัสถึงความอาฆาตหรืออันตรายอะไรจากเขา

ประสาทสัมผัสของเธอได้รับการฝึกมาอย่างหนัก มันผ่านกาลเวลาและประสบการณ์อย่างโชกโชน-Vivien เชื่อในสัญชาตญาณของเธอ และตามเขาไปในห้วงลึกของดาวใหม่ที่แสนประหลาดนี้

 

สายเคเบิ้ลใยเหล็กที่อยู่รอบตัวพวกเขา มันทำให้การเดินทางต้องช้าลง

เหล็กเส้นที่หนากว่าต้นขาเธอถึง 4 เท่า เคลือบด้วยสิ่งสกปรกที่สะสมมาตลอดหลายศตวรรษ

แสงที่ลอดมาเริ่มลดน้อยลง แต่เมื่อสะท้อนกับสนิม กลับทำให้ทุกอย่างมีสีเหมือนลางร้าย

 

เมื่อถึงจุดหนึ่ง อาคารที่สร้างจากโลหะก็ต้องพังทลายลงมาเบื้องล่างนี่ 

ที่ๆพวกเขาอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดของเมือง New Capenna ลึกลงไปมีเพียงแสงจากหลอดไฟที่ถูกทิ้งไว้นาน ซึ่งแสงไฟก็สั่นไหวราวกับจะดับได้ทุกเมื่อ

คานที่รองรับ New Capenna แทรกผ่านซากปรักหักพัง และยึดด้วยหมุดกับสกรูเข้ากับยอดของหินที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เนินขนาดยักษ์

 

ซากโบราณสถานเหล่านี้น่าจะเป็น The First Capenna มันเก่าแก่ และถูกทำลายโดย “ความเจริญ” ที่ผลักดันผู้คนให้ไปขึ้นถึงเบื้องบน รอยกรงเล็บบนกำแพงที่พังทลาย ดึงดูดสายตาของ Vivien 

บางทีมันอาจไม่ใช่แค่ความรุ่งเรือง มันอาจเป็นการฟื้นฟูหลังจากการเกิดหายนะ

 

Vivien หยุดที่คานที่เต็มไปด้วยเศษอิฐ คุกเข่าลงสัมผัสดินที่แน่น แห้ง, ไร้พลัง และว่างเปล่า

เป็นเวลานานที่ผู้คนในเมืองนี้เชื่อมโยงกับดาวที่อ่อนล้า แต่มันก็ยังคอยช่วยเหลือพวกเขา

 

Tezzeret ยังคงไม่พูดอะไร และนำเธอเดินทางลึกลงไปอีก ผ่านทางคดเคี้ยวตัดเข้าที่เนินสูง เขาพาเธอผ่านหน้าผาและถ้ำ

เมื่อแสงมืดลง Tezzeret ก็ถอดเสื้อโค้ทออก แสงสีแดงสะท้อนกับผนังรอบตัวพวกเขา มันเปล่งแสงออกมาจากร่างของเขา 

หมอกควันสีเขียวลอยมาปนกับแสงสีแดงของ Tezzeret ทำให้ Vivien ชักลูกธนูออกมา

 

“นั่นมันอะไร?” เธอตะโกน

“การแสดงความเชื่อใจไงล่ะ” เขาเอื้อมมือไปที่จุดกำเนิดแสงที่หน้าอก มันไหลผ่านรอยแยกของโลหะบนร่างเขา บดบังเนื้อหนังที่เหลืออยู่ โลหะเหลวเข้ามาแทนกระดูกและเส้นเอ็นมันคือ The Planar Bridge”

 


Planar Bridge

 

ไม่จริงน่า !! มันยังไม่ถูกทำลาย” Planar Bridge สิ่งที่ Vivien แค่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงมัน

Tezzeret ยิ้มเยาะ “ข้าเองก็ดังพอตัวสินะ”

“มากกว่าที่นายรู้ด้วยซ้ำ” เธอขึ้นสายธนู

“มันไม่เป็นภัยต่อเจ้าหรอก” Tezzeret ตอบพรางยักไหล่
“แต่มันก็ดูไม่น่าไว้ใจใช่มั้ยล่ะตอนที่มันเปล่งแสง” เขามองดูแขนที่เหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับร่างของเขา
“มันแปลกไปหลังจากพา’พวกนั้น’เดินทางข้ามดาว,  Planar Bridge อาจจะเสียหาย หรือถูกเปลี่ยนแปลงบางอย่างไป มันทำให้การใช้งานมันกลายเป็นกระบวนการที่ไม่น่าพิศมัยซักเท่าไหร่” เขากล่าว

“พวกนั้น?”

 Tezzeret หันกลับมา

“The Praetors”

“พวกนั้นคือใคร?” เธอไม่เคยได้ยินชื่อพวกมันมาก่อน

“พวกผู้นำของ New Phyrexia”

ผมที่ต้นคอของ Vivien ลุกชัน

“นายทำงานให้พวก Phyrexian?”

Kaya เคยสู้กับหนึ่งในพวกมันที่ Kaldheim 

และคำบอกเล่าใน Kamigawa ก็เคยผ่านหู Vivien มา 

พวกมันเป็นเหมือนกับโรคร้าย ภัยอันตราย และ Tezzeret เป็นผู้แพร่เชื้อ

“แค่เคย” Tezzeret กล่าว
“ข้าเองก็เสียใจกับการทำลายล้างระดับ Multiverse ที่ผ่านมา, แต่นั่นเป็นเพราะมีผู้ที่ต้องการให้ทุกชีวิตน้อมรับ ถ้าไม่ก็จะบังคับให้ทุกอย่างเปลี่ยนเป็น Phyrexia – Elesh Norn

สายธนูกดที่ข้างแก้มของเธอ แขนที่ยืดออกง้าวธนูสุดกำลัง แต่ Tezzeret กลับยิ้มท้าทายลูกศรของเธอ

“ด้วยความชิงชังขนาดนี้ เจ้าจะหาเพื่อนใหม่ได้ยังไง Vivien?”

“ฉันไม่แน่ใจว่าอยากเป็นเพื่อนกับศัตรูหรือเปล่า” เธอพูดเสียงแข็ง, ไม่มีอาชญากรรมใดร้ายแรงไปกว่าการช่วยแพร่กระจายความสยดสยองของพวก Phyrexia

“ข้าต้องจำใจทำ”

Vivien ตะล่อมให้เขาพูด

“การร่วมมือกับ Elesh Norn จะเป็นการ 'จำใจ' ได้ยังไง”

“ข้ายังไม่ได้สิ่งที่พวกมันสัญญาไว้”

“ไม่มีสัญญาไหนของ Elesh Norn ที่จะเป็นข้อแก้ตัวของนายในการทำลาย และสังหารหลายๆชีวิตหรอกนะ” Vivien กำมือแน่นขึ้น

“ข้าเห็นด้วย” นั่นเป็นเพียงคำพูดเดียวที่ทำให้เธอยังไม่เรียกจิตวิญญาณสัตว์ป่ามารวมกับลูกธนู 
Tezzeret ไพล่มือไว้ด้านหลังเพื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดสู้
“ข้าไม่แน่ใจว่า Norn จะยังรักษาสัญญาอยู่มั้ยถ้าทุกชีวิตหายไป? หรือข้าเองจะกลายเป็น Phyrexian แต่ข้าก็ยังอยากได้สิ่งนั้นอยู่ดี” 

เขากำลังเหยียบเรือสองแคม Vivien ผ่อนไหล่ของเธอลง เขาอาจไม่ได้เป็นมิตร แต่ก็ไม่ใช่ศัตรูโดยตรง เธอหวังว่าจะใช้งานเขาได้

“สหายข้าอยู่ไม่ไกลแล้ว, Urabrask จะบอกกับเจ้าได้มากกว่า” Tezzeret ถอยหลังไปครึ่งก้าว
“ข้าเกรงว่าข้าจะไม่มีเวลาอธิบายทั้งหมด Norn จะสงสัยถ้าข้าหายไปนานเกินไป”

Vivien ก้าวไปข้างหน้าและถามว่า

“บอกฉันเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Urabrask ได้มั้ย?”

“ข้าจะบอกเจ้าในสิ่งที่เจ้าต้องรู้: เขาไม่เป็นอันตรายกับเจ้าในตอนนี้ เจ้าสามารถที่จะสังหารเขาด้วยมือเปล่าได้ด้วยซ้ำ” ดวงตาของ Tezzeret ส่องประกายด้วยแสงสีเดียวกันกับเวทมนตร์ที่หมุนวนในตัวเขา
“เจ้าจะฆ่าข้าหรือจะเดินต่อไป Vivien Reid ?”

ชื่อเธอที่ออกมาจากปากเขาทำให้กระดูกสันหลังเธอเย็นวาบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยพลัง-เต็มไปด้วยปัญญา  ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับเขาที่จะเชื่อถือได้ Vivien รู้ แต่กระนั้น…

“พาฉันไป” เธอมาไกลขนาดนี้ เธอต้องเห็นมันกับตา

พวกเขาเดินต่อไปตามอุโมงค์ ทันใดนั้นพื้นที่ก็เปิดโล่งสู่ถ้ำขนาดใหญ่ ที่ปลายด้านหนึ่งมีสัตว์ขนาดใหญ่ มันบาดเจ็บ และพยายามหายใจผ่านจะงอยปากที่วาววับของมัน

แสงสีแดงของ Planar Bridge ในตัว Tezzeret ทำให้ร่างของมันดูดุร้ายยิ่งขึ้น เนื้อของมันถูกฉีกออกจากร่างโลหะอย่างน่าสยดสยอง

Vivien จินตนาการออกว่าสัตว์ร้ายนี้เคยดูสง่าและน่าเกรงขามเพียงใด เป็นจุดสูงสุดในห่วงโซ่อาหาร ความสงสารส่งผ่านมาหาเธอจากความสง่าที่หายไป

Vivien เชิญพบกับ Urabrask” Tezzeret กล่าว
“ผู้พิพากษาแห่งโรงถลุงเหล็กอันเงียบเชียบ (Preator of the Quiet Furnance)

 


Urabrask, Heretic Praetor

 

แม้จะอยู่ในสภาพนี้แต่ Vivien ก็ยังรักษาระยะห่างไว้ เพื่อที่จะหนีออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอยังคงตกตะลึง เจ้าสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บอยู่ตรงหน้าคือ Phyrexian

“เจ้าทรยศข้า” Urabrask ขู่ Tezzeret ดูเหมือน Vivien จะไม่ใช่คนเดียวที่ไม่เชื่อใจ Tezzeret 

“ใจเย็นก่อนท่าน Urabrask” Tezzeret ถอนใจ 

สายตาของชายที่ทั้งตัวเป็นโลหะมองไปที่ Phyrexian ราวกับกำลังดุเด็กเล็กๆนั้น ทำให้ Vivien รู้สึกหวั่นไหว เธอได้เห็นสิ่งที่ทั้งมหัศจรรย์และสยดสยองมามากมายจากการเดินทางของเธอ แต่นี่คงเป็นเรื่องที่แปลกที่สุด

“ที่จริงแล้วข้าพาพันธมิตรใหม่มาให้เรา”

“ฉันยังไม่ได้ให้สัญญาอะไรทั้งนั้น” เธอเหลือบมองระหว่าง Tezzeret กับ Urabrask, ปลายนิ้วของเธอขยับหาลูกศร ถ้าเธอต้องยิง เธอจะยิงตรงกลางระหว่างพวกเขา และส่งวิญญาณหมาป่าพุ่งไปหาทั้งคู่

“เจ้าบอกว่า New Phyrexian เป็นศัตรูไม่ใช่หรือ?” Tezzeret พูด

Vivien ยิ้มออกมาเล็กน้อย

“นายไม่ใช่คนเดียวที่คิดว่าถ้าพวก Phyrexians ยึดครอง Multiverse ได้ จะกลายเป็นเรื่องแย่ เพราะที่จริงแล้วนี่เป็นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่เลยล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราทุกคนก็อยู่ฝ่ายเดียวกัน ศัตรูของศัตรู คือ มิตร”

“แล้วทำไมนายถึงต้องทำงานให้ New Phyrexia?” Vivien จ้องไปที่ Urabrask เธอเข้าใจได้ที่ Tezzeret เป็นแค่ลูกน้อง, ไม่ได้เป็น Phyrexian และยอมทำงานให้กับ Elesh Norn แต่กับเจ้า Phyrexian Praetor นี่ล่ะ?

Urabrask พยายามลุกขึ้นนั่ง ราวกับจะส่งตัวเองให้สูงสง่าขึ้น แต่ความน่าเกรงขามที่ควรจะมีก็หายไป เพราะความทรมาณที่มันแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

มันเกิดอะไรขึ้นกับ Phyrexian ตนนี้กันแน่?

Elesh Norn ต้องการปกครอง New Phyrexian ทั้งหมด Jin-Gitaxias, Vorinclex และพวก Black Thanes อีกจำนวนมากได้สวามิภักดิ์ เพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเธอ
แต่ข้าไม่รับใช้ใคร และข้าก็ต้องการแค่อยู่อย่างสันโดด ข้าไม่อยากมีส่วนร่วมในนิมิตของ Norn”
กรงเล็บของ Urabrask ขยับขูดขีดบนพื้น Vivien คิดว่าเขาหงุดหงิด
“Norn ต้องการให้ Multiverse กลายเป็นหนึ่ง, ให้ทุกชีวิตเป็น Phyrexian และ Phyrexian ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้อำนาจของ Norn
เราไม่เชื่อในวิถีนั้น และข้าจะไม่ยก Quiet Furnace ให้มัน” 

Vivien ค่อยๆ ลดลูกศรเธออย่างช้าๆในขณะที่ Urabrask พูด เธอคงรู้สึกดีกว่าถ้ายิงพวกเขา, ฆ่าทั้งคู่เสียตอนที่มีโอกาส

พวก Phyrexian เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอปกป้อง-พวกมันคือความบิดเบี้ยวระหว่างธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์

 

แต่… สัญชาตญาณบอกเธอว่าสิ่งนี้ต่างออกไป, หรืออาจเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นของเธอที่กำลังเติบโตขึ้น

Urabrask อาจแค่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเพียงอย่างเดียว เหมือน Tezzeret 

แต่ถ้า Urabrask พูดความจริง Praetor ตนนี้ก็เป็น’ศัตรูของศัตรู’ของเธอด้วย และบางที นี่จะเป็นโอกาสอันดี เราไม่เคยมีสายอยู่กับ Phyrexian ยิ่งไปกว่านั้น Urabrask ไม่ได้ต้องการอำนาจใดๆ

“นายคิดว่าจะหยุด Norn ได้งั้นหรือ?” Vivien ถาม

“ใช่ ข้าจะนำพาการท้าทายไปหา Norn” Vivien คิดว่าคำว่า 'ปฏิวัติ' มีคำอื่นแทนได้ยาก ซึ่งก็น่าสนใจที่พวก Phyrexian ไม่ได้ใช้คำนั้น

“แล้วจะชนะได้ยังไง?”

“บางทีข้าจะบอกเจ้า ในตอนที่ข้าคิดว่าเจ้าเชื่อใจได้” Urabrask กลับลงไปนอน ราวกับว่าการนั่งคุยกันมันใช้พลังงานมากเกินไป

จาก 1 ใน 3 คนที่อยู่ตรงนี้กลายเป็นเธอที่ถูกระแวง มันทำให้เธอหงุดหงิด

“เยี่ยม แล้วจะให้ฉันพิสูจน์ตัวเองยังไงล่ะ?”

“แน่นอนว่าเจ้าจะต้องช่วยพวกเรา” Tezzeret กล่าว “ข้าถูกจับตามองว่าจะทำอะไร หรือไปที่ไหน
ยิ่งกว่านั้น Norn ต้องการให้ข้าส่งกองทหาร Phyrexian และ พวก Praetors ออกไปยังดาวอื่น

มันเสี่ยงที่จะหายหน้าไปนานๆ ข้าจึงไม่สามารถอยู่กับ Urabrask ที่กำลังรักษาตัวหลังเดินทางผ่านเจ้าสิ่งนี้” 

The Planar Bridge ทำให้ Urabrask เป็นแบบนี้นั้นรึ? Vivien พิจารณาร่างของ Phyrexian ดูเหมือนว่า The Planar Bridge ก็เป็นดาบสองคมเหมือนกัน

“แล้วนายต้องการอะไรล่ะ?” เธอถาม Urabrask ไปตามตรง

“เวลาในการรักษาและ Halo, อย่างหลังคือสารวิเศษของดาวนี้ที่ข้าจำเป็นต้องศึกษา
นำ Halo มาให้ข้า และรอ แล้วข้าจะบอกเจ้าว่าจะดึง Norn ลงมาจากบัลลังก์ได้ยังไง” Urabrask
ตอบ

ก็แค่ข้อตกลงง่ายๆ Vivien จะหนีออกไปตอนไหนก็ได้ และบอกเรื่องของ Urabrask ให้กับคนอื่นๆ 

แต่ถ้า Urabrask ไม่ได้โกหก, ถ้ามีสิ่งที่ควรรู้บางอย่างแลกกับ Halo แค่ขวดหรือสองขวด… 

“ฉันตกลง” Vivien หันกลับมาพร้อมกับเริ่มปีนขึ้นไปยังเมืองเบื้องบน

“มีอีกอย่าง” Urabrask กล่าว ทำให้เธอชะงัก
“ในตอนที่เจ้าตามหา Halo มีบุคลหนึ่งที่ข้าต้องการ, ถึงแม้ข้าจะมีเรี่ยวแรงไปตามหาเธอ แต่ข้าก็ไม่สามารถ เคลื่อนไหวในดาวนี้ได้อย่างอิสระโดยคนอื่นไม่สงสัย”

“ใคร?”

Elspeth นางเป็นเหมือนเจ้า, เป็น Planeswalker Tezzeret เห็นนางที่ด้านบน แต่เขาไม่เสี่ยงเข้าไปหาเธอเนื่องจากเรื่องในอดีตของเขา”

Elspeth” Vivien ทวน และจำชื่อนั้นขึ้นใจ
“แล้วนายมีธุระอะไรกับเธอล่ะ?”

Norn หวาดกลัวเธอ นั่นคือทั้งหมดที่ข้ารู้”

และศัตรูของ Elesh Norn คือคนที่ Vivien อยากจะรู้จัก

 

- บนถนนของ New Capenna -

 

ในแต่ละชั้นของ New Capenna. Mezzio นับเป็นชั้นที่ Vivien ไม่ชอบมันที่สุด

 

ชั้นใต้ดินของ Caldaia เต็มไปด้วยหมอกควัน และเสียงอึกทึกของโรงงานอุตสาหกรรม แต่ก็เป็นท่วงทำนองที่ทำให้เมืองมีชีวิตชีวา เหมือนเสียงการเต้นของหัวใจ 

เสียงแห่งการคร่ำครวญ เสียงแห่งการเติบโต แม้จะเป็นพวกอุตสาหกรรมก็ตาม และแน่นอนว่าเบื้องล่างคือพื้นโลก มันคือสิ่งที่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุดของ New Capenna 

 

Park Heights ก็เป็นเขตที่ถูกบีบให้เติบโต และตกแต่งอย่างสวยงามเกินจริง

มันมีเพียงไม่กี่สวนที่มีต้นไม้จริงๆ เมื่อเธอพบว่าตัวเองต้องการสีเขียวและความมีชีวิตชีวา

 

สำหรับ Mezzio, พื้นที่ตรงกลางนี้ เธอคิดว่าที่นี่เธอจะพบความสมดุล แต่มันไม่ใช่

ที่นี่มีความโกลาหลแบบ Caldaia แต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ รวมกับการละเลยและการถูกกดขี่ของชนชั้นแรงงาน และทุกคนเร่งรีบเกินไปจนไม่มีใครหยุดเชยชมดอกแดนดิไลอ้อน ที่ตั้งอยู่บนทางเท้าอย่างมีความหวัง

 

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเร่งรีบนั้นคือไม่มีใครสนใจเธอเลย

เธอใช้ทักษะการสะกดรอย และการล่า เพื่อได้ยินและมองเห็นสิ่งต่างๆ เธออยู่ที่นั่นชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็จากไป ไม่มีใครจะฉลาดไปกว่าเธอแล้ว

ทักษะนี้ทำให้เธอได้เข้าไปเป็นคนเก็บข้อมูลให้พวกสปายของตระกูล Obscura

 

Vivien ยืนพิงหน้าร้านที่ประตูปิดอยู่ ในส่วนลึกของ Mezzio มันวุ่นวายเสียจนการเดินเตร็ดเตร่ยามวิกาลไม่เป็นที่สนใจ เงียบเสียจนคนสองคนคุยกันโดยไม่ต้องเร่งเสียง

เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา

Arrow” ผู้หญิงตัวเล็กที่มีผิวสีน้ำตาลแดง และหมวกกะลาสี สีกรมท่า หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

Navy” Vivien ตอบกลับโดยไม่ต้องมอง

ชื่ออย่างไม่เป็นทางการของพวกเธอ ที่เรียกจากขึ้นจากชุดที่ใส่อยู่ทำให้ไม่สามารถแกะรอยได้

Vivien ได้เสื้อโค้ดสีเขียว คาดทองที่ตัดกับผิวสีน้ำตาลเข้มของเธอ มันเปิดอกเผยเสื้อเชิ้ตสีขาว และเน็คไทที่คล้ายหัวลูกศร

 


Obscura Storefront

 

“บอกข่าวดีฉันมาหน่อยสิ” Navy พิงราวบันไดฝั่งตรงข้าม Vivien และดึงสมุดโน๊ตเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

Vivien เคยเห็นมาก่อนแล้วเจ้าหนังสือแห่งความลับที่เธอคิด

“ฉันได้ยินมาว่าพวก Cabaretti ย้าย แท่นบูชา (the Font) ไปรอบๆ เป็นประจำ” Vivien เริ่มสนใจเจ้า แท่นบูชานี้

เนื่องจากมันน่าจะเป็นแหล่ง Halo ให้ Urabrask ได้แต่พวก Cabaretti คุ้มกันมันอย่างแน่นหนาเกินกว่าที่จะฉกฉวยมันได้

และยิ่งไปกว่านั้นทุกคนใน New Capenna ต่างตามล่าข้อมูลของเจ้าแท่นบูชานี่ ซึ่งนั่นทำให้เธอทำงานได้ง่าย นับเป็นโชคดีสำหรับ Vivien ที่ Urabask ต้องการแค่ Halo เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

“ประจำนี่ บ่อยแค่ไหนล่ะ?”

“ทุกวัน” 

Navy ฮัมเพลงอย่างครุ่นคิด

“มีอะไรอีกมั้ย?”

“มีคนพูดถึงเลาจ์ที่ดูแลกิจการโดย Adversary เขาใช้ที่นั้นเป็นฐานปฎิบัติการ” Adversary นี้ค่อนข้างดึงดูดความสนใจของ Vivien 

แม้พวก Obscura บอกว่าพวกเขาเป็นผู้ชักใยในเงามืด เป็นผู้กุมความลับของเมือง แต่เท่าที่ Vivien บอกได้คือ Adversary ต่างหาก ที่เป็นผู้ควบคุมเมืองนี้ตัวจริง

“เธอรู้มั้ยว่ามันอยู่ที่ไหน?”

“ยัง แต่ฉันจะหาให้เจอ” Vivien โกหก

เธอรู้แล้วว่าเลาจ์ของ Adversary อยู่ที่ไหน แต่เธอไม่คิดจะบอกทุกอย่างที่เธอรู้มา เธอต้องการให้ข้อมูลเพียงเล็กน้อย ที่เพียงพอสำหรับการแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น

การยึดติดกับพวก Obscura-หรือตระกูลอื่นใน New Capenna-คือสิ่งที่ Vivien พยายามหลีกเลี่ยง

เธอเป็นแค่ผู้มาเยือน, ผู้เฝ้ามองดาวดวงนี้ เธอไม่อยากเข้าไปแทรกแซงอีก

“บอกฉันทันทีถ้ารู้เรื่องอะไรอีก”

“แน่นอน” Vivien ดันตัวเองออกจากหน้าร้าน
“เธอมีอะไรมาให้ฉันรึเปล่า?” 

“ไม่มีความมั่นคงในการทำธุรกิจกับ Halo หรอกนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงกลายเป็นผู้หญิงที่รวยและมีอำนาจไปแล้ว
ฉันได้ยินมาว่ามีจุดเล็กๆ ที่เรียกว่า Angel’s Breath ทางฝั่งตะวันตกตอนล่างของเมือง พวก Cabaretti จะเติมสต็อกคืนนี้
บางที่อาจขโมยมาได้สักขวด ถ้าเธอโชคดี”
Navy
ยังคงเขียนสมุดโน๊ตของเธอขณะ Vivien จากไป


“โอ้ ฉันหา Elspeth ของเธอเจอแล้วล่ะ” Vivien หยุดกึก
“ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่รับจ้างทำงานทั่ว Mezzio ส่วนใหญ่ทำที่ถนนสายหลักข้างสถานี
พวกงานก่อสร้าง, ทำความสะอาด, หรือ งานครัว-งานรับจ้างทั่วไป, งานประจำวัน-ไม่มีงานมั่นคงและดูแลแค่ตัวเธอเอง ยากที่จะชี้จุด
ฉันคิดว่าน่าจะใช่คนที่คุณตามหา มีคนไม่มากที่ใช้ชื่อนี้ โชคด-”

Vivien ไม่ได้ยินส่วนที่เหลือ เธอเริ่มออกวิ่งผ่านตรอกด้านหลังอันคุ้นเคย และสะพานที่สองฝากเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เธอหยุดแวะไซต์งานก่อสร้างทุกแห่งที่เธอรู้ ,บริษัททำความสะอาด และโรงครัว

เมื่อเธอคิดว่าหมดหนทาง ก็เกิดการระเบิดของพลังเวทย์ขึ้น ตามด้วยเสียงตะโกนและกรีดร้อง

 

เธอมุ่งไปยังถนนเส้นหลักของเมือง ผู้คนวิ่งผ่านเธอไปที่ริมถนน ขณะเดียวกันมีผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งเข้าไปในซอย พร้อมพวกหน่วยควบคุมของ Maestro วิ่งไล่ตามเธอ การต่อสู้ไม่ใช่เรื่องแปลกใน Mezzio แต่วิธีการเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้น ทั้งการหมุนตัว การหลบหลีก แม้จะไร้อาวุธและฝั่งตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า ท่ามกลางฝูงชนที่ตื่นตระหนก ผู้หญิงคนนั้นมีฝีมือมากกว่าพวกกุ๊ยข้างถนนที่เธอเคยเห็น

ไม่จริงน่า… หรือว่านั่นคือ?

 

Vivien วิ่งไล่ตามไป เธอตะกายข้ามอาคารโดยการปีนขึ้นต้นไม้อย่างง่ายดาย และเกาะอยู่ที่หลังคาเบื้องล่าง เมื่อ Vivien ตามมาถึงพื้นที่ของการต่อสู้ ผู้หญิงคนนั้นก็จัดการพวกอันธพาลเสียจนหมอบแล้ว

ตอนนี้เธอกำลังพูดคุยกับแวมไพร์ที่มาดดีตนหนึ่ง แต่ Vivien ไม่สามารถได้ยินบทสนทนาของพวกเขาจากบนหลังคานี้ได้ 

Vivien จึงหันไปหยิบลูกศรจากด้านหลัง และยิงไปฝั่งตรงข้ามของหลังคาที่พวกเขาไม่สังเกตุเห็น กระรอกวิญญาณพุ่งออกไปและวิ่งไปตามรางน้ำโดยหลบซ่อนให้พ้นสายตาของทั้งสองคน Vivien สามารถได้ยินคำพูดของพวกเขาผ่านเจ้ากระรอกเวทย์มนต์นี้ราวกับเธออยู่ใกล้พวกเขา

“… เจ้าจะประหลาดใจว่าทุกๆ ตระกูลที่นี่ก็เริ่มมาจาก Park Heights ทั้งนั้น” แวมไพร์ตนนั้นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะยื่นมือออกมา “ขออภัย, ข้านี่ช่างไร้มารยาทเสียจริง ข้าชื่อ Anhelo” Vivien เคยได้ยินชื่อนี้จากข่าวลือของพิพิธภัณฑ์ -เขาเป็นพวก Maestros

ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจคำทักทาย, เธอเดินต่อไปและพูดว่า

Elspeth”

Vivien หาเธอพบแล้ว แต่ตอนนี้ Vivien มีตัวเลือกว่าเธอจะรีบกลับไปหา Urabrask? หรือ เธอจะหาข้อมูลเพิ่มเติมของ Planeswalker คนนี้?

ในเวลานี้ Urabrask ก็ยังคงไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางผ่าน Planar Bridge อีกรอบ ซึ่งหมายความว่า Vivien ยังคงมีเวลาเก็บรวบรวม Halo อีกอย่างน้อยสองสามสัปดาห์ เธอจะมีเวลารวบรวมข้อมูลของ Elspeth คนนี้ก่อนที่จะพาเธอไปหา Praetor

Vivien ต้องการหาคำตอบด้วยตัวเธอเองว่าอะไรที่ทำให้ Elspeth เป็นคนพิเศษ

 

- ที่ Shady เลาจ์ -

 

Vivien ยังหาจังหวะเข้าไปคุยกับ Elspeth ไม่ได้

Anhelo พาตัวเธอไปยังพิพิธภัณฑ์ของ Maestros ทันทีที่เธอตอบตกลงเข้าตระกูล Maestro - ซึ่ง Vivien คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่แปลกสำหรับ Planeswalker อย่างพวกเธอ

Vivien สะกดรอยตามไปถึงพิพิธภัณฑ์ ซุ่มดูอย่างแนบเนียน และใช้ข้อมูลที่ได้จาก Navy ในการหาทางเข้าไป แต่พวก Maestros ขังพวกสมาชิกใหม่ไว้อย่างดีจนกว่าพวกเขาจะพร้อมสำหรับภารกิจของแก็งค์

 

แต่ด้วยความโชคดี Vivien กำลังจะมีโอกาสพูดคุยกับ Elspeth ตามลำพัง

ข้อมูลจาก Navy บอกว่า Adversary จะมีการประชุมคืนนี้ และ Maestro จะเข้าร่วม Navy ยังบอกอีกว่าพวก Obscura เห็น Elspeth ทำงานให้ Maestros 

Vivien หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Elspeth จะมากับพวก Maestro -ดูเหมือนนี่จะเป็นงานที่เหมาะจะทดสอบมือใหม่- และเธอคิดว่าไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะกับการประชุมลับมากไปกว่าเลาจ์ที่ Vivien พบว่าเป็นฐานลับของ Adversary

และถ้า Elspeth ไม่มา, Vivien ก็แค่ได้ Halo เพิ่มมาให้ Urabrask ศึกษาเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ในตอนนี้เจ้า Praetor เริ่มอาการดีขึ้น แต่ยังห่างไกลคำว่าแข็งแรง

 

Vivien นั่งลงที่เคาเตอร์ แสงสีม่วงชวนปวดหัวเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นสีพลัม รวมถึงเครื่องดื่มของเธอด้วย พนักงานเสนอ Halo ให้เธอ -รายการของมันแผ่หลาอยู่บนเมนู- แต่ Vivien ปฏิเสธ
เธอเคยลองมันครั้งนึง ตอนที่เธอรวบรวมข้อมูล และหลังจากที่มันแล่นขึ้นหัวเธอพร้อมกับเวทย์แห่งสรรพสัตว์ เธอก็ไม่อยากได้มันอีกเลย
มันเป็นพลังจอมปลอมที่หลอกให้เธอมั่นใจมากเกินไป มันจะนำไปสู่ความประมาท
และ Vivien ต้องการประสาทที่เฉียบคมในการทำงาน

เจ้าสารนี่มีประสิทธิภาพและทรงพลังแน่นอน เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงค้ำจุน New Capenna ไว้ได้ แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าทำไม Urabrask ถึงต้องใช้มัน
แค่ถือมันก็ทำให้เขาสะดุ้งแล้ว หรือจริงๆมันเป็นเรื่องดีที่เขาสะดุ้ง มันไม่ง่ายเลยที่จะสังเกตุอารมณ์เขาจาก จงอยปากและดวงตากลมๆ ของเขา

ดังนั้น Vivien จึงดื่มบางอย่างที่ดูน่าตื่นตา…น้อยกว่า 

ผู้ชายหลังเคาน์เตอร์ มองเธอด้วยหางตาตอนที่เธอสั่งน้ำเปล่า แต่น้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้สำหรับ Vivien

 

ประตูเลาจ์เปิดออก และหญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามา ไม่ใช่ Elspeth แต่ผู้หญิงคนนี้มาจากแก็งค์ Maestro ไม่ผิดแน่ -เธอมีดวงตาที่แข็งทื่อแบบพวกแวมไพร์

Vivien วางแก้วเครื่องดื่มลง ถอนหายใจยาวๆ 

เยี่ยม Elspeth ไม่ได้มากับพวก Maestro คืนนี้ ถึงเวลาที่ Vivien ต้องใช้แผนสำรอง

“ฉันเปลี่ยนใจแแล้วล่ะ, แต่ฉันต้องรีบชิ่งแล้ว จะว่าอะไรมั้ยถ้าจะสั่ง Halo ไปดื่มข้างนอกน่ะ?” Vivien ถามเด็กเสิร์ฟ

เขาถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์

“เครื่องดื่มทุกอย่างต้องดื่มภายในร้าน เป็นกฎของนายท่าน เขาชอบให้ปาร์ตี้อยู่ในที่ที่มันควรอยู่”

“ก็โทษเขาไม่ได้หรอกนะ” เธอยิ้มตอบ
ชายคนนั้นขำเบาๆ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สงสัยในคำขอแปลกๆของเธอเลย
“ฉันเอาแก้วนึงดื่มที่นี่แหละ” เขาส่งขวด
Halo และแก้วมาให้
“คืนนี้นายท่านของนายอยู่ที่นี่หรอ?”

“ถ้าเธอไม่รู้คำตอบก็แสดงว่าไม่ใช่ธุระของเธอ” ความสนุกหายไปจากน้ำเสียงของเขา

Vivien ผละออกจากเคาน์เตอร์และชูมือขึ้น

“ฉันแค่ได้ยินมาน่ะ”

“ที่เมืองนี้มีหูมีตาเต็มไปหมด, จัดการ Halo ของเธอซะก่อนที่ฉันจะขอให้เธอออกไป” เขาถือแก้วของเธอที่เต็มไปด้วยของเหลวสีรุ้ง

“เชียร์” Vivien พึมพัม

ขณะมองเขาเดินไปฝั่งตรงข้ามคุยกับแขกคนอื่น เธอหันหลังให้พวกเขา, ดึงขวดเล็กๆจากกระเป๋าหนังสัตว์ที่เอว
เธอเทมันอย่างเบามือ Vivien สามารถแอบเอา Halo ออกจากเลาจ์และนำมันไปให้ Urabrask โดยไม่มีใครสงสัย. 

 


Speakeasy Server

 

อาจจะเป็นเพราะมุมที่เธอนั่งอยู่ เธอจึงเห็นพวก Maestro ที่อยู่ด้านหลังจากรอยแง้มของประตู

เธอมองเห็นหมวกกะลาสีอันคุ้นเคย… นั่นมัน Navy, เธอมาทำอะไรที่นี่?

 

Vivien ผละออกจากเคาเตอร์, ทิ้ง Halo ที่เหลือไว้ข้างหลัง ถ้าเธอเอามันไปมากกว่านี้ จะทำให้เธอดูน่าสงสัย, 

และแล้วสัญชาตญาณของเธอก็เริ่มเตือน 

Navy แสร้งทำเป็นไม่รู้จักที่นี่เพื่อเก็บข้อมูลจากเธอ 

Vivien มองไปรอบๆ พยายามทำตัวให้ดูไม่น่าสงสัย และเดินเข้าไปยังประตูที่แง้มอยู่

“-- ทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้ว?” Navy กระซิบ

“ใช่ พวก Maestros ที่ภักดีกับนายท่านจะพร้อมที่งาน Crescendo”

“ดี ท่านจะตอบแทนนายอย่างดีสำหรับความช่วยเหลือนี้ ฉันจะจัดการเรื่องที่นายขอ” ที่แท้จริงแล้ว Navy เป็นสายลับสองหน้า

Vivien สงสัยว่าเธอทำงานให้ใครกันแน่– พวก Obscura? Adversary? หรือเธอจะเหมือน Tezzeret ที่ซื่อสัตย์กับตัวเองเท่านั้น

 

มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านซ้ายของ Vivien กำแพงเปิดออกเผยให้เห็นประตูลับด้านใน มีกลุ่มคนออกมาจากห้อง เธอได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เสียงที่ฟังดูคุ้นเคย

Vivien เคยได้ยินเสียงหัวเราะนี้มาก่อน แต่ที่ไหนล่ะ?

เธอต้องเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน เลานจ์เต็มไปด้วยผู้คนที่อาจสังเกตุได้ว่าเธอไม่ควรมาอยู่ตรงนี้

Vivien รีบตัดสินใจเดินออกไปที่ประตูหลัง

 

เสียงแหวกอากาศทำให้เธอหมอบลง ประกายสีเงินพุ่งเข้ามาพร้อมกับเจ้าของมันที่วิ่งเข้าหาเธอ จากนั้นมีเสียงก้องกังวาลเมื่อกริชสีเงินปักอยู่ที่ประตูที่เธอเพิ่งเดินผ่าน

Navy เดินเข้ามาหาเธอ หอบหายใจเบาๆ มือยังคงถือกริชไว้ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความโกรธที่ถูกเจอตัว Vivien ได้กลิ่น Halo จากตัวเธอ -ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม Navy ถึงมีพลังมากพอที่จะโจมตี Vivien

“ฉันรู้ว่าเธอจะมา เธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ Adversary และ Maestros มาก เมื่อเธอพูดถึงเลานจ์นี้ ฉันก็แค่รอให้เธอมา”

Vivien ค่อยๆเอื้อมมือไปที่เข็มขัด เธอไม่ได้เอาธนูและลูกศรมา -มันเด่นเกินไป- แต่เธอก็มีอาวุธติดตัว

“แกตามฉันมาทำไม” ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกันแน่ แต่ Vivien ไม่คิดว่าจะมีความเกลียดระหว่างพวกเธอ
“เธอทำงานดีเกินไปแล้ว” Navy ลดกริช
“และนายท่านก็ไม่ชอบให้ใครมาดมกลิ่นหน้าประตูบ้านเขาซะด้วย” เธอเล็งกริชมาที่หัวของ Vivien 

Vivien ลุกขึ้นโดยจับแขนข้างหนึ่งของ Navy และอีกมือหนึ่งเธอดึงมีดของเธอ แทงเข้าไปในลำไส้ของผู้หญิงตรงหน้า 

Navy ไม่ใช่นักสู้ มันจึงไม่ใช่เรื่องยาก

เสียงกริชของ Navy หล่นกระทบพื้น เธอเดินโซเซไปในอ้อมแขนของ Vivien

Vivien พยุงเธอให้นั่งลงและพิงกำแพงในตรอก

“ถ้าเธอดึงมีดเล่มนี้ออก, เลือดเธอได้ไหลหมดตัวแน่” Vivien พูดเบาๆ
“ปล่อยมันไว้ แล้วเธอจะมีเวลาอีก 10 นาที ในการเรียกให้คนช่วย” เธอสบตากับ Navy แล้วจ้องเขม็งหญิงสาวที่อายุน้อยกว่า 

Vivien ครุ่นคิด นางยังเด็กเกินกว่าที่จะตาย
“ไปหาพวก Obscura ซะ, ไปบอกว่าลูกน้องของ Adversary ทำ, Adversary ไม่ใช่พวกเธอ มันจะปล่อยให้เธอตาย นี่เป็นทางเลือกของเธอ”

ร่างของ Navy สั่นสะท้านเพราะความเจ็บปวด แต่เธอก็พยักหน้า

 

เมื่อ Vivien ปล่อยมือจากกริช เธอสังเกตุเห็นสมุดบันทึกที่เขียนลวกๆ โดนมันซุกอยู่ในกระเป๋าของ Navy 

เธอหยิบมันไป, พวก Obscura จะจดบันทึกทุกๆ สิ่งที่ คิดว่าสำคัญเอาไว้ในบันทึกของตัวเอง 

“นี่แลกกับชีวิตเธอ” Vivien ยกสมุดบันทึกขึ้นมา เพราะทุกอย่างล้วนมีราคาของมัน

มีเสียงดังมาจากในเลานจ์ ทำให้ Vivien ลุกขึ้นและหนีไปท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน

 

- Park Heights -

 

เป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนไหวอย่างอิสระ หลังเหตุการณ์ที่เลานจ์ 

Adversary หยั่งรากเข้าไปในความคิด และจิตใจของชาว New Capenna

 

เหตุการณ์คราวก่อนทำให้เธอหวาดระแวง เธอไม่เพลิดเพลินกับต้นไม้ของ Park Heights ได้อีกเลย เมื่อคิดว่ามีศัตรูแอบแฝงอยู่ในเงามืด 

Vivien ก้มหน้ามองสมุดโน๊ตที่หยิบมาจากกระเป๋าของ Navy 

มันคือจุดส่ง Halo ในเมือง และของก็รออยู่ตามที่บันทึกบอกไว้ สิ่งที่เธอทำตอนนี้คือรอ

ไม่ว่า Maestro ที่มาจะใช่ Elspeth หรือไม่? Vivien ก็เตรียมทางหนีในค่ำคืนนี้ไว้แล้ว

 

ร่างหนึ่งก้าวออกมาจากความมืด เข้ามาใต้แสงไฟ Vivien จำผมสีดำเข้ม, ดวงตาสีน้ำตาล และคางที่เชิดขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลย

Elspeth

คืนนี้ค่อนข้างโชคดีกว่าที่ Vivien คาดไว้ เธอขยับไปจังหวะเดียวกับที่ Elspeth กำลังหยิบของ โดยก้าวออกจากที่ซ่อนและคว้าข้อมือของ Elspeth

“ฉันสงสัยมานานแล้วว่าใครจะมาเก็บมันไป” Vivien พูดเสียงต่ำ มีคนอื่นอยู่ในสวน มันคงไม่ดีถ้าทำให้พวกเขาแตกตื่น

“ฉันลืมไว้เมื่อตอนกลางวันน่ะ” Elspeth พูด เธอโกหกได้น่ากลัวทีเดียว

“อย่าโกหกกันเลยน่า” Vivien พูดด้วยรอยยิ้ม
“เธอดูไม่เหมือนคนขี้ลืมเท่าไหร่นะ”  ขณะมองดูหญิงสาวที่พบกันครั้งแรกใกล้ๆ พยายามหาว่าเธอมีความพิเศษอย่างไร 
“และเธอก็ดูไม่เหมือนคนที่จะทำงานให้พวกตระกูลมาเฟียซะด้วย”

Elspeth หัวเราะเบาๆ “ฉันมีเหตุผลของฉันอยู่น่ะ”

มันคืออะไรล่ะ? ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรมันคงสำคัญขนาดที่ Planeswalker ต้องเข้าไปยุ่งในเรื่องของดาวนี้
“ฉันเชื่อว่าเป็นแบบนั้น”

“ฉันกำลังศึกษาประวัติศาสตร์ของดาวดวงนี้” Elspeth ยอมรับ

“ทำไมล่ะ?”

“ที่นี่น่าจะเป็นบ้านเกิดของฉัน” ความประหลาดใจและความสูญเสีย -ถูกส่งผ่านความอ่อนไหวของ Elspeth มาถึง Vivienการสูญเสียบ้านเกิด เธอรู้ดีว่ามันรู้สึกอย่างไร
Elspeth พูดต่อ  “แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ, ฉันคิดว่ามันน่าจะมีภัยร้ายอะไรบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ และฉันกำลังตามหาข้อมูลชุดนั้น”

“ฉันก็คิดแบบเดียวกันนะ” Vivien พูด
“และเราจะช่วยกัน”

 


Vivien on the Hunt

 

เธอค่อนข้างประหลาดใจที่ Elspeth ไม่รู้เรื่อง Urabrask 

แต่ถ้าเธอเองไม่ตาม Tezzeret ไป Vivien ก็ไม่รู้เช่นกัน และ Urabrask บอกว่า Tezzeret ไม่เข้าไปหา Elspeth เนื่องจาก ‘มีประวัติ’ บางอย่างระหว่างพวกเขา

“อ่อ… ฉันชื่อ Vivien”

Elspeth”

Vivien ไม่ได้บอกว่าเธอรู้ชื่อ Elspeth มานานแล้ว นั่นดูไม่ใช่วิธีการแนะนำตัวที่ดี

“ว่าแต่ เธอจะเก็บข้อมูลไปให้ใครล่ะ?”

Elspeth ลังเล

Vivien มั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้ในฐานะที่เธอเป็น Planeswalker เหมือนๆ กัน ย่อมมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการจทนจมปลักเป็นลูกน้องของกลุ่มมาเฟียใน New Capenna แน่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ทำงานให้ Urabrask เหมือนกัน ที่เหลือก็…

“ให้ฉันเดานะ Gatewatch ใช่มั้ย?”

Ajani ส่งฉันมา พวกเขาส่งคุณมาเหมือนกันหรือ?”

“จริงๆ แล้วก็เปล่า แต่ถ้าเธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราอาจจะ-” Vivien ส่ายหน้าไปทางขวา ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย เวลาของพวกเธอหมดแล้ว
“มีคนตามเธอมาน่ะ, ฉันควรไปก่อนพวกนั้นมาถึง” Vivien ปล่อยข้อมือ Elspeth
“แต่ฉันอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับภัยร้ายของเธอ”

“คุณมีข้อมูลงั้นเหรอ?” Elspeth ก้าวเข้าไปใกล้ กระซิบเบาๆ

“ฉันพาเธอไปเจอกับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจได้นะ, ถ้าเธอจะตามม-” 

“ฉันไปไม่ได้” Elspeth ตอบสวนทันควัน
“ฉันมีโอกาสที่จะได้รู้ว่า New Capenna เคยเอาชนะภัยร้ายได้ยังไง” เคยเอาชนะ? ภัยร้ายในอดีต? ซากโบราณสถานที่เต็มไปด้วยรอยกรงเล็บฉายเข้ามาในหัว Vivien

New Capenna มีอะไรมากกว่าที่เห็นบนพื้นผิว และความลับที่เกือบถูกฝังไปชั่วนิรันดร์
“ฉันยังไปไม่ได้ จนกว่าจะได้ข้อมูลชุดนี้”

“เยี่ยม” พวกเขาเข้ากันได้ดี ยิ่งไปกว่านั้น Vivien ยินดีที่ Elspeth ดูเป็นคนที่ไว้วางใจได้
“ฉันก็จะสืบข้อมูลจากทางฉันเหมือนกัน, แล้วจะติดต่อมาถ้าฉันมีข้อมูลเพิ่มเติม”

“ทำไมถึงเลือกจะช่วยฉัน?” Elspeth ถามก่อนที่ Vivien จะจากไป

“ก่อนเธอจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างตระกูลมาเฟีย เธอควรจะรู้รายละเอียดทั้งหมดของมัน” เธอบอกพร้อมชูบันทึกในมือ เธอต้องหาข้อมูลมากกว่านี้ก่อนจะพูดมากเกินไป
“แล้วพบกันใหม่”

“เมื่อไหร่ล่ะ?”

“เมื่อฉันมีข้อมูลที่คุ้มค่า” Vivien พยักหน้าเล็กน้อย เธอยังไม่พา Elspeth ไปหา Urabrask ตอนนี้ เธอต้องได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่ายก่อน และต้องหาข้อมูลให้มากขึ้น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

Vivien ถอยกลับไปในพุ่มไม้ เธอมองไปที่มือของเธอที่คว้าข้อมือ Elspeth ปิ่นอันหนึ่งกำลังทิ่มฝ่ามือของเธอ ผู้หญิงคนนั้น… เธอมองกลับไปที่ม้านั่ง และพบว่า Elspeth หายไปแล้ว

เธอมีบางอย่างพิเศษแน่นอน

 

- ในถ้ำใต้เมือง Caldaia -

 

“ฉันเจอ Elspeth แล้ว” Vivien ประกาศทันทีที่เธอเข้าไปในถ้ำของ Urabrask ที่อยู่ลึกลงไปใต้เมือง

“งั้นรึ?” Urabrask ยังคงนิ่ง
“แล้วทำไมนางไม่มากับเจ้า?”

“เธอยังไม่พร้อมที่จะไปจากที่นี่..” Vivien พูดพร้อมเล่าเรื่องระหว่างเธอกับ Elspeth ให้เขาฟัง 

“เราช่วยนางไม่ได้รึ?”

“ฉันคิดว่าไม่” Vivien พูดอย่างเต็มปาก ดูเหมือน Elspeth จะเข้มแข็งกว่าที่เธอคิด

“งั้นเราก็จะรอ” Urabrask กล่าว
“นางคือกุญแจแห่งชัยชนะ ข้าจะไม่ไปโดยไม่มีนาง -Spark ของนางจะจุดไฟให้ผู้คนของข้าและชาว Mirrans”

 “เมืองนี้ใกล้ถึงจุดแตกหักแล้ว” Vivien รู้สึกถึงสมดุลที่เปลี่ยนไป และการเคลื่อนไหวของ Adversary ก็ทำให้กระบวนการมันเร็วขึ้น
“ฉันสงสัยว่าไปถึงจุดแตกหักนั่นแล้ว มันจะทำให้ Elspeth พบคำตอบที่ตามหาหรือไม่”

“งั้นก็เร่งเข้าสู่จุดแตกหักนั่นให้เร็วขึ้นสิ”

Vivien กัดฟัน, เห็นได้ชัดว่า Phyrexian ไม่ได้เล่นมุข

Urabrask แค่พูดตามความเป็นจริง หาใช่การเสียดสีหรืออารมณ์ฉุนเฉียว

“ฉันจะพร้อมเมื่อ Elspeth พร้อม, พวกเราไม่ถ่วงเวลาหรอก” Vivien เน้นย้ำทางเลือกของเธอ เธอไม่ใช่คนที่หลับหูหลับตารับคำสั่งจาก Praetor
“อีกอย่าง ฉันรู้ว่าจะไปหาเธอได้ที่ไหน”

Maestro บอก Navy ว่าจะมีการแทรกแซงงาน Crescendo และสมุดบันทึกของ Navy ยืนยันข้อมูลนี้ ถึงแม้ Elspeth จะเป็นหนึ่งในนั้นก็ตาม 

ซึ่ง Vivien คิดว่า Elspeth ไม่ใช่คนที่จะเข้ากับพวก Adversary หรือเธอคิดจะสู้กับพวกมัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น Vivien พนันได้เลยว่า Elspeth จะอยู่ที่งาน Crescendo และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นจุดจบของ New Capenna

Adversary ไม่ใช่คนเดียวที่วางกับดักในงาน Crescendo” Vivien กล่าว 

“ข้าแนะนำให้ระวังเขาไว้” Urabrask กล่าว
Tezzeret บอกว่าเขาเป็น Planeswalker ด้วย”

Vivien เริ่มสงสัยมากขึ้น

“เขาบอกมั้ยว่าเป็นใคร?”

“ปีศาจ” เขาพูด

“ปีศาจงั้นเหรอ? สุดยอดไปเลย” เธอคว้าคันธนูและลูกศร, เค้นสมองของเธอจนรู้แล้วว่าเจ้าของเสียงหัวเราะที่ตามหลอกหลอนเธอนั้นเป็นใคร
“ฉันต้องการเจ้านี่ เมื่อเสร็จเรื่องแล้วจะกลับมาพร้อม
Elspeth เราจะบอกว่านายกำลังช่วย Gatewatch และพวกเราจะช่วยคุณในการปฎิวัติครั้งนี้”

Urabrask ก้มหัวยาวๆ ของเขา

“Planar Bridge จะทำลายร่างของข้า เมื่อข้ากลับไป New Phyrexia, ซึ่งถ้าดูจากแต่สภาพของข้าในตอนนี้ ที่ใกล้ได้เวลาเดินทางแล้ว มันก็นับว่าต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟื้นตัว
ข้าสงสัยว่า เมื่อข้ากลับไป มันก็คงจะใช้เวลาในการพักฟื้นพอๆ กัน”

“ดี”

Vivien ออกจากถ้ำ พลางครุ่นคิด ว่าจริงๆแล้วอาจมีวิธีการหยุดการขยายอำนาจของ New Phyrexiaได้หลายวิธี ทว่าแต่ละวิธี มันดูเหมือนเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ

สำหรับตอนนี้ เธอต้องไปหา Elspeth 

และงาน Crescendo จะเป็นเป้าหมายที่ดีของเธอ..

และ Vivien ไม่เคยพลาดเป้าที่เล็งเลย


 

 Magic Story By Elise Kova