- ณ สถานีรถไฟเมือง Mezzio -

 

เมือง New Capenna นั้นช่างแสนวุ่นวาย

Elspeth ยืนเกาะเสารถไฟที่กำลังแล่นเข้าสู่ใจกลางเมือง, แม้ที่จริงแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องหาที่ยึดอะไร เมื่อผู้ร่วมทางของเธอ ต่างเบียดเสียดอัดแน่นกันเสียจนไม่มีใครขยับไปไหนได้

ก่อนที่รถไฟจะเริ่มกระตุก และส่งเสียงคำราม มันก็ชะลอตัวเข้าเทียบท่าหลักของเมือง Mezzio - ย่านกลางเมืองที่เป็นดั่งหัวใจของ New Capenna, ย่านที่วถ่นวายราวกับมันหายใจเข้าออกเป็นหมอกควันและผู้คน

 

จากสถานีกลาง, ลิฟท์สีทองที่สร้างล้อเลียนแมลงปีกแข็งจะมารอรับ-ส่งผู้มั่งคั่งทั้งหลายขึ้นไปยังเขต Park Heights

ส่วนชนชั้นแรงงานก็เดินขึ้นมาจากเขต Caldaia ผ่านทางบันไดที่เต็มไปด้วยควันจากเครื่องจักรไอน้ำ, สำหรับ Elspeth แล้ว เธอคิดว่าเธอเหมาะกับมันมากกว่าลิฟท์เลื่อนที่ดูหรูหรานั่น

Elspeth จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่, กางเกงขายาวของเธอเป็นแบบเรียบๆ แต่ทนทาน, เธอม้วนแขนเสื้อของเธอ และปลดกระดุมเสื้อกั๊กออก เพื่อช่วยระบายความร้อนจากบรรดาเครื่องจักรที่นี่

แม้ว่าเมือง New Capenna จะสร้างอยู่ภายในโดมช่วยคุมอุณหภูมิ, แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความร้อนระอุ ที่ทำให้คนทำงานต้องเดินไปมาพร้อมกับเสื้อที่เปียกเหงื่อ

ถึงแฟชั่นจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเมือง New Capenna แต่ในเวลานี้ ตัว Elspeth เองคงต้องนึกถึงเรื่องเอาตัวให้รอดในโลกใบใหม่ ใบนี้เสียก่อน

และถ้าเอาตัวรอดไปได้, จะเสื้อผ้าแบบไหนก็มาเถอะ เธอสามารถแนบเนียนไปกับผู้คนในเมืองได้ง่ายๆ แล้ว

 

 

Elspeth เดินเท้าเข้าสู่เมือง พร้อมๆ กับมองหางานจิปาถะทั่วๆ ไป

ถ้ามองเผินๆ เธอก็ไม่ได้แตกต่างจากประชาชนคนอื่นๆ ใน New Capenna, ทว่า ภายในร่างของเธอมันช่าง… ว่างเปล่า, แผลจาก Godsend ที่เทพ Heliod แทงร่างของเธอยังคงอยู่… 

เธอได้แต่หวังว่าความเจ็บปวดนี้จะเยียวยาได้… แม้ New Capenna จะไม่ให้ความรู้สึกของบ้านกลับมาเลยก็ตาม

Elspeth เดินอย่างเหม่อลอยจนเธอไม่ทันระวังมนุษย์สิงห์อีกคนที่วิ่งตรงมาทางเธอ

ทั้งคู่ชนกันอย่างจัง ต่างฝ่ายต่างกระเด็นด้วยแรงปะทะจนลงไปกองกับพื้น, Elspeth ที่ยังมึนอยู่ พยายามกระพริบตาเรียกสติ, ในขณะที่ผู้คนก็เดินผ่านทั้งคู่ไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นางฟ้าประทานพรทีเถอะ! เดินภาษาอะไร ไม่ดูตาม้าตาเรือ!” มนุษย์สิงห์คนนั้นคำรามขึ้น, มือของเขาก็ควานเก็บบรรดาม้วนผ้าที่กองเต็มพื้น ก่อนที่มันจะถูกเหยียบโดยผู้คนที่สัญจรไปมาจนเกินซ่อมแซม

“ฉันขอโทษด้วย” Elspeth พูดขึ้น

 

และเมื่อมองจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่แล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนของตระกูลมาเฟียใดๆ ใน New Capenna เลย… และแค่นั้นก็ทำให้ Elspeth รู้สึกสบายใจขึ้นมา

เพราะถ้ามีเรื่องอะไรขึ้นมา เธอเองก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ไหน…

อันที่จริง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าระบบรัฐบาลที่นี่เป็นอย่างไร? หรือเป็นใคร? ที่เธอรู้จักก็มีแต่ Obscura, Cabaretti, Maestros, Brokers และ Riveteers ที่เป็นชื่อของตระกูลมาเฟียที่นี่เท่านั้น

 

“ให้ตายเถอะ, ไม่มีใครสอนให้มองทางรึไง” มนุษย์สิงห์คนนั้นลุกขึ้น ทิ้งให้ Elspeth อยู่ตรงนั้น

คำพูดของเขาทำให้เธอหวนคิดถึงอดีต, เธอยังนั่งอยู่กับพื้น ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างหลบเลี่ยงเธอ, บ้างก็มองด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย บ้างก็มองมาด้วยความสับสน… แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาไม่ได้สนใจเธอ

กระนั้น Elspeth เองก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเหมือนกัน… 

สติของเธอได้เดินทางไปที่อื่น… ในช่วงเวลาอื่น…

 

- ก่อนหน้านี้ ณ Dominaria -

 

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่!” Ajani วิ่งเข้าหา Elspeth, เขาสวมกอดเธอเสียจนหายใจแทบไม่ออก

Elspeth กอด Ajani กลับ แน่นพอๆ กับที่เขากอดเธอ, แผงคอปุกปุยของ Ajani ทิ่มจมูกและแก้มของเธอ พอให้รู้สึกจั๊กจี้ และทำให้เธอยิ้มออกมา

ความสุข, ความสบายใจ และความอบอุ่นปลอดภัย… มันนานแค่ไหนแล้วเธอก็จำไม่ได้ ที่จะได้รับความรู้สึกดีๆ แบบนี้… นานเสียจนเธอไม่แน่ใจว่าเธอจะยังรับรู้มันได้อยู่หรือไม่?

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะกลับมาเดินในโลกของคนเป็น, ข้าต้องเห็นด้วยตาของข้าเองเลยนะเนี่ย” Ajani ปล่อยอ้อมกอดของเขา, เอามือไปจับที่ไหล่ของ Elspeth, แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย

“ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าก็คงไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน” Elspeth ส่งยิ้มกลับ

“ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่าน” ทั้งๆ ที่ Dominaria เป็นสถานที่ ที่ทั้งคู่ไม่ได้จะแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ

จริงอยู่ว่าทั้ง Ajani และ Elspeth เคยพบกันที่ Dominaria เมื่อกาลก่อน แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่ามันเป็นสถานที่ที่ทั้งคู่คุ้นเคย

“ว่าแต่ ท่านมาทำอะไรที่นี่? ข้าคิดว่าจะได้เจอท่านที่ Naya เสียอีก”

“หลังจากจบเรื่องกับ Bolas, ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับ Karn และเหล่า Gatewatch คนอื่นๆ… มาเพื่อถกกันเรื่องภัยจาก Phyrexian… แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ” Ajani ส่ายหัวไปมาราวกับจะไล่เรื่องไร้สาระออกไป
“เจ้าน่ะ เป็นยังไงบ้าง?”

“เรื่องมันยาวน่ะ…” และ Elspeth ก็เล่าเรื่องการผจญภัยในโลกหลังความตายที่ Theros อย่าง Underworld

เล่าถึงสงครามระหว่างทวยเทพ ที่เริ่มต้นมาจาก Heliod เทพแห่งดวงอาทิตย์ที่หักหลังเธอ

และมันก็มาถึงการปะทะกันระหว่าง Heliod กับ Elspeth อีกครั้ง, แต่ในครานี้ เธอเป็นฝ่ายได้ชัยมา… ชัยชนะของเธอ ที่กลายเป็นชัยชนะของ Erebos เทพแห่งความตาย

Heliod ต้องถูกคุมขังไว้ที่ Underworlds ตลอดกาล และนั่นก็ทำให้ Erebos เห็นว่า Elspeth คือผู้ทำประโยชน์สูงสุดอย่างหาที่เปรียบได้… ท่านเทพ Erebos จึงปล่อยให้เธอกลับออกมาจาก Underworld

 

Ajani นิ่งเงียบไป จนกระทั่ง Elspeth เล่าเรื่องราวของเธอจบ, เขาหันมาจ้อง Elspeth อีกครั้ง, ด้วยสายตาที่เธอรู้จักมันดี…

เธอรู้ว่าเขายังอยู่ในห้วงความคิดของเขา และเธอก็ไม่อยากจะทำให้เขาหลุดออกมาจากสมาธิของตัวเอง

ท่ามกลางความดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่า แต่ลึกๆ ในใจของเธอกลับรู้สึกหวาดกลัว

 


Solidarity of Heroes

 

สหายทั้งสองได้จากลากันไปเป็นเวลานาน จนไม่รู้ว่ากาลเวลาได้ทำอะไรกับพวกเขาบ้าง

Elspeth พึ่งกลับมาจากความตาย ส่วน Ajani นั้นเข้าร่วมกับ Gatewatch และ Karn เพื่อสืบหาภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามา… และถ้า Ajani มองว่าเธอไม่ใช่เพื่อนคนเดิมล่ะ?

ถ้าการกระทำที่เธอเลือกมา กลายเป็นสิ่งที่ผิดพลาดในสายตาของเขาล่ะ?

Ajani ขยับตัวจากที่นั่งของเขา หันมาจับมือของ Elspeth และจ้องตาของเธอ เพื่อที่จะถามคำถามอีกครั้ง “เจ้า เป็นอย่างไรบ้าง?”

“หา?” Elspeth ยืดตัวขึ้นมาจากที่นั่งของเธอ

“Elspeth, เจ้านะ เป็นยังไงบ้าง? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้ารู้จัก, แต่ข้าไม่อาจจินตนาการถึงภาระที่ร่างกาย และจิตวิญญาณของเจ้าต้องแบกรับเอาไว้…
ต้องทนผ่านกลียุคท่ามกลางความสงบที่เจ้ามองหา, และเรื่องของ Daxos… ข้ารู้ว่าเขามีความหมายกับเจ้ามากเพียงใด”

Elspeth หลบตาของ Ajani, เพราะไม่เช่นนั้น เขาคงเห็นทะลุปรุโปร่งกำแพงที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังความเจ็บปวดที่เธอมี

เธออยากจะแข็งแกร่ง… เธออยากจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่เบื้องหลัง… 

แต่กับ Ajani ที่รู้จักเธอเป็นอย่างดี… เขารู้ดีว่าลึกๆ ในใจของ Elspeth นั้น อยากจะให้ Theros เป็นบ้านของเธอ… เป็นที่พักใจ… เป็นที่ให้เธอได้สงบใจท่ามกลางความวุ่นวายของ Multiverse
และสิ่งที่เธอยอมเสียสละไปเพื่อคนรักของเธอ… เพื่อ Daxos… เธอยอมสละทุกอย่างแม้แต่ชีวิต เพียงเพื่อจะพบว่าเขาไม่ใช่ชายคนเดิมที่เธอเคยรู้จักอีกแล้ว

“เรื่องที่ยากที่สุดก็คือ…” Elspeth เริ่มพูดอย่างช้าๆ “การไม่มีที่จะให้ไป… Calix ยังคอยไล่ล่าข้า, แม้ว่าข้าจะรู้ดีว่าข้าสามารถหนีจากการตามล่าของเขาได้… แต่… แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าข้าไม่มีที่ให้ไป? ส่วนเรื่องกับ Daxos มันก็จบลงแล้ว… เขาไม่ใช่ชายที่ข้าเคยรู้จัก และข้าก็ไม่มีที่ไหนที่ข้ารู้สึกปลอดภัยอีกต่อไป” คำว่าปลอดภัยที่ออกมาจากปากของเธอในตอนนี้ มันก็บอกอ้อมๆ ว่า 

 

เมื่อไร้ที่ปลอดภัย มันก็เหมือนกับไร้ที่ที่เรียกว่าบ้าน

 

นั่นเป็นบทเรียนที่เธอเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก บทเรียนที่ทำให้เธอต้องตามหา Theros - ดินแดนที่เทพคอยปกป้อง… แต่ทว่า… แม้แต่คำว่าเทพ ยังไม่ได้หมายถึงความปลอดภัย… แล้วสิ่งไหนจะให้ความปลอดภัยกับเธอได้?

Elspeth ฝืนหัวเราะอย่างขมขื่น… มันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ข้าฝ่าฟันจนหลุดพ้นเงื้อมมือของเทพ Erebos มาได้… แต่ทุกวันนี้ข้าก็ไม่มีคำตอบ… ว่าข้าทำมันไปเพื่ออะไร?”

Ajani ถอนใจออกมา Elspeth, เจ้ารู้หรือไม่? บ้านนั้นไม่ใช่สถานที่; หากเป็นความรู้สึกของเจ้า, มันคือผู้คนรอบข้าง ที่พร้อมจะรับฟัง แล้วร่วมฝันไปกับเจ้า, คือผู้คนที่เจ้าพร้อมจะมอบความไว้ใจ”

“สำหรับท่าน มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ”

“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” Ajani รู้สึกเหมือนถูกตำหนิ

“ทุกที่ที่ท่านไป มันก็เป็นเหมือนบ้านของท่านทั้งนั้น, แต่กับข้า ที่ถูกไล่ล่าตลอดเวลา มันไม่มีที่ไหนที่เหมือนบ้าน”

“ที่เป็นเช่นนั้น เพราะข้านำสิ่งที่เรียกว่าบ้านใว้กับตัว, เจ้าจะต้อ-”

“ข้าไม่คิดว่าท่านจะเข้าใจข้าหรอก” Elspeth ตอบ และดึงมือของเธอกลับมา…
เธอไม่อยากจะให้บทสนทนานี้ยืดยาวไปมากกว่านี้ เพราะมันคงเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะหวังให้คนอย่าง Ajani เข้าใจความเจ็บปวดของเด็กที่ถูกทอดทิ้งเช่นเธอ

“นั่นก็จริง” Ajani ยอมรับมัน “ข้าอาจจะไม่เข้าใจความเจ็บปวดที่เจ้ามี ได้ดีเท่าตัวเจ้าเอง, แต่เจ้าเองคือเพื่อนที่ข้ารักที่สุด, และนั่นเป็นเหตุผลที่ข้าอยากจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเจ้า ก่อนที่ข้าจะต้องรับรู้ความรู้สึกที่เจ้ามี”

“ท่านช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอก”

“ข้าขอเพียงให้เจ้าตั้งใจมองทางเบื้องหน้า, มองไปยังอนาคต, อย่าปล่อยให้ปีศาจจากอดีตกาลทำร้ายเจ้า”

“ข้าไม่มีปีศาจในใจ” Elspeth ตอบด้วยความพยายามจะปิดบังเสียงอันขมขื่นของเธอ

“คำว่าบ้านจะมาจากภายในใจของเจ้า, เมื่อเจ้าพบเป้าหมายที่แท้จริง - มองให้ลึกลงไป และจงเชื่อมั่นตัวของเจ้า, ถ้าเจ้าไม่เชื่อมั่นตัวเอง เจ้าจะไม่สามารถก้าวไปเป็นตัวเจ้าที่แท้จริง, และเจ้าจะไม่มีทางพบสิ่งที่เรียกว่าบ้านได้เลย”

“ข้าไม่ได้มาพบ เพื่อให้ท่านมานั่งสอนหรอกนะ” Elspeth ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้, เธอยืนกอดอกก่อนที่จะเดินออกไป

มองหาความสงบจากภายใน แล้วจะพบกับบ้านที่แท้จริง บ้านที่ไม่ใช่ชื่อเรียกของสถานที่

คำพูดของเขาติดอยู่ในหัวของเธอจนชวนอึดอัด, เธออาจจะหนีมันไปได้ง่ายๆ แต่ก็หนีมันไปตลอดกาลไม่ได้…

เธอคงทำได้แค่หาที่สงบๆ พักใจให้สมองปลอดโปร่ง… ก่อนที่จะหันกลับมาพินิจเรื่องในวันนี้อีกครั้ง

“Elspeth” เธอได้ยิน Ajani ลุกขึ้นยืนโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง
“ข้าจะเก็บสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้กลับไปคิด, ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าดีใจที่พบเจ้า”

Ajani พูดต่อโดยไม่สนใจว่า Elspeth จะยังฟังเข้าอยู่หรือไม่
“ในช่วงที่เจ้า-” เขานิ่งไป เพื่อจะหาคำพูดที่ดีกว่า…
“- ไม่อยู่, ข้าได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับดาวบ้านเกิดของเจ้า…” Ajani สูดหายใจเข้าเต็มปอด ราวกับจะรอรับเรื่องอันหนักหน่วง
“ข้าพบมันแล้ว”

 

- เวลาปัจจุบัน ณ ร้านซักอบรีดแห่งหนึ่งในเมือง Mezzio -

 

Elspeth ยืนมองกระจกที่สะท้อนเงาบิดๆ เบี้ยวของเธออยู่หน้าที่ทำงานปัจจุบัน, กลิ่นของสารซักฟอกลอยมาตามอากาศอย่างชัดเจน, ชัดราวกับรอบอัดกลีบของชุดราตรีที่แขวอยู่หน้าตู้กระจกนั้น

หรือสิ่งที่ Ajani เคยพูดจะเป็นเรื่องจริง?  หรือคำว่าบ้านที่แท้จริง มันจะมาจากภายใจใจของเธอ?

Elspeth ส่ายหัวไปมา เพื่อสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวในขณะที่เดินเข้าไปในร้านซักอบรีด

ร้านที่ให้งานเพื่อให้เธอเอาชีวิตรอดไปวันๆ และเพื่อรอวันที่โอกาสจะมาถึง… ถ้ามันจะมีโอกาสล่ะก็นะ

“แกมาสาย” เจ้าของร้านซักอบรีดทัก Elspeth ทันทีที่เขาเห็นเธอเดินเข้ามา “นี่คืองานสบายๆ ที่แกอาจจะไม่ได้ทำมันอีก ถ้าแค่มาให้ตรงเวลายังทำไม่ได้”

Elspeth มองไปที่นาฬิกาแขวนผนัง, มันบอกสิ่งที่เธอรู้ตัวอยู่แล้ว - เธอมาได้ตรงเวลาเป๊ะๆ

“ไม่ต้องมองนาฬิกา, นาฬิกานั่นไม่ช่วยอะไรแกหรอก, เวลาที่แกต้องเข้างานคือเวลาที่ฉันบอก… และถ้าฉันบอกว่าแกมาสาย นั่นก็คือแกมาสาย”

“ขอโทษด้วย” Elspeth พึมพัมออกมา, เธอยังไม่รู้แม้แต่ชื่อของเจ้าของร้านที่เธอต้องทำงานด้วย เพราะจะว่าไป เธอก็เปลี่ยนงานเป็นประจำตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่
เนื่องจากนายจ้างส่วนใหญ่ก็ไม่อยากจะจ้างเธอต่อไป เมื่อพวกเขารู้แล้วว่า เธอนั้น ไม่ยอมเป็นบ่าวที่โดนกดขี่อย่างไม่เป็นธรรม
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

“ก็ดี ยิ่งหาคนยากๆ อยู่ด้วย” ชายเจ้าของร้านชี้นิ้วโป้งของเขาไปทางประตูหลังร้าน
“เอาถุง 6 ถุงนั่นไปส่งที่รถไฟ แล้วก็มารับค่าจ้างไปซะ”

Elspeth ไม่ได้รีรออะไรอีก เธอเดินตรงไปยังห้องหลังร้านที่มีถุงเสื้อผ้าแบ่งเป็น 6 กอง - 5 ถุงสำหรับแต่ละตระกูลมาเฟียที่นี่ และอีก 1 ถุงของประชากรทั่วๆ ไป… นั่นอาจจะเป็นเพราะนางฟ้าที่นี่ไม่ยอมให้พวกเขาซักผ้าของตัวเองก็เป็นได้

Elspeth แบกเอาถุงหนึ่งขึ้นบ่าของเธอไป ก่อนที่จะเดินตรงไปยังสถานีรถไฟกลางของ Mezzio ก่อนที่จะเดินทางกลับ

ระหว่างนั้น เธอก็คอยแอบฟังผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา, ซึ่งส่วนใหญ่ พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับหญิงที่แบกถุงเสื้อผ้าไปมาหรอก แม้บางทีตัวของ Elspeth ก็แทบจะหยุดเดินเพื่อฟังบทสนทนาของพวกเขา

การเปลี่ยนงานบ่อยๆ ของเธอ ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียซะทีเดียว เพราะมันก็ทำให้เธอได้เดินทางไปพบกับผู้คนมากมาย รวมถึงได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ของ New Capenna… ที่ๆ เธออยากจะทำความคุ้นเคยเพื่อให้มันเป็นบ้านของเธอ

 

ประตูของร้านซักอบรีดถูกเปิดทิ้งไว้ในการเดินแบกหามรอบสุดท้ายของ Elspeth พร้อมกับเสียงบทสนทนาที่ดังออกมาจากภายในร้าน

“- ติดหนี้ก็ต้องจ่ายมาสิวะ” เสียงที่ไม่คุ้นเคยของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา

“เดี๋ยวผมจะหามาจ่ายให้ ผมสัญญา” เสียงที่เคยเต็มไปด้วยความเข้มงวด และมั่นใจของเจ้าของร้านกลับกลายเป็นเสียงสั่นเครือของความหวาดหวั่น 
“ขอ… ขออีกหนึ่งอาทิตย์ครับ”

“อีกอาทิตย์นึงเนี่ยะนะ?” เสียงหัวเราะของผู้หญิงอีกคนดังขึ้นมา “แกเลยเวลาจ่ายมาเป็นเดือนแล้วนะ, ให้เวลาขนาดนี้ก็เป็นบุญขนาดไหนแล้ว”

“ขออีกวั - อีกสองวัน - ผมขอร้องล่ะ”

 

Elspeth ไม่เคยได้ยินน้ำเสียงที่หวาดหวั่นขนาดนี้ของเจ้าของร้านมาก่อน, น้ำเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกหดหู่, และกลับตามมาด้วยความรู้สึกขยะแขยงของพวกคนที่มารีดเลือดกับปู

แล้ว… ฉันควรจะเข้าไปยุ่งไหม? คิดว่าไม่… มันไม่ใช่เรื่องของฉัน

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็คงเป็นผลจากเส้นทางที่เจ้านายของเธอเลือกเดิน, เธอคงทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม

“สองวันเรอะ? จะรอทำไม ถ้าในร้านแกก็มีเงิน?” เสียงของข้าวของแตกกระจายก็ตามมา, ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างสะใจ

เสียงครางด้วยความเจ็บปวด ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกระแทก และเสียงของแตกหัก

 

Elspeth พุ่งผ่านประตูหน้าร้านไปด้วยความรวดเร็ว ขัดจังหวะความหายนะที่ทิ้งไว้เพียงเศษซากของหุ่นลองเสื้อหัวขาด, เสื้อผ้าชุดราตรีที่สุวยงามกลับขาดวิ่น, และร่างที่โชคเลือดของเจ้าของร้าน

ชายหญิงทั้งสิ้น 4 คนยืนล้อมร่างที่บาดเจ็บของเจ้าของร้านเอาไว้, บัดนี้ พวกมันหันมาจ้อง Elspeth ด้วยดวงตาสีเรื่อๆ

“ใครกันล่ะเนี่ย?” ชายผมสีเข้มในกลุ่มนั้นพูดขึ้น, มันเป็นเสียงแรกที่ Elspeth ได้ยิน และเขาก็น่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้

“เธอ… เธอเป็นแค่ลูกค้า” เจ้าของร้านฝืนพูดออกมา, แม้ว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ Elspeth คาดหวังว่าเขาจะปกป้องเธอ

Elspeth จ้องเขม็งไปที่ชายผมสีเข้มคนนั้น “ออกไปซะ”

“อู้ว, พูดตรงประเด็นเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่ ‘ลูกค้า’ นะเนี่ย” ชายคนนั้นตอบ พร้อมกับรอยยิ้มที่แฝงด้วยเลศนัย
“จะมาสนใจอะไรกับไอ้แก่นี่เล่า?”

นั่นนับเป็นคำถามที่ดี, เป็นคำถามที่แม้แต่เธอเองก็ยังถามกับตัวเองเช่นกัน… แต่ตอนนี้ เธอต้องหยุดกลุ่มคนพวกนี้เสียก่อน เพราะดูจากท่าทางแล้ว งานนี้ไม่น่าจบแค่คดีทำร้ายร่างกาย แต่คงจะยาวไปเป็นการฆาตรกรรมแน่ๆ ถ้าเธอไม่เข้ามาขัดพวกเขา

“ใครก็ตามที่เป็นพวกโรคจิต ชอบเห็นคนที่ไร้ทางสู้ต้องเจ็บปวด ก็ถือว่าเป็นเรื่องของฉันแล้วล่ะ”

“เธอหาว่าพวกเราโรคจิตแหละ” เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากผู้หญิงอีกคนในกลุ่ม
“สงสัยต้องให้เธอเห็นแล้วว่า ‘โรคจิต’ จริงๆ เป็นยังไง?” เธอบีบกำปั้นของเธอจนลั่นกร็อบแกร๊บ

“กล้ามากที่พูดแบบนั้นกับหน่วยควบคุมของ Maestroชายที่มีทรงผมไถหัวข้างหนึ่งพูดขึ้น

ตระกูล Maestro กลุ่มตระกูลที่ Elspeth เองแทบจะไม่รู้อะไรนอกจากเรื่องที่เธอได้ยิน ได้ฟังมาจากประชาชนของ New Capenna, ที่รวมๆ กันแล้วจับประเด็นได้ว่า เป็นเรื่องของศิลปะ ไม่ก็ความตาย, เสื้อผ้าที่พวกเขาส่งมาที่ร้านซักอบรีดก็มักจะเต็มไปด้วยคราบเลือดที่กระเซ็นไปทั่ว

“วันนี้ข้าอารมณ์ดี” ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้น และเดินออกมาห่างจากร่างที่บาดเจ็บของเจ้าของร้าน
“ข้าจะยกโทษการตัดสินใจที่งี่เง่าของแก ถ้าแกยอมจะจ่ายทุกอย่างที่แกมี ไม่งั้นความผิดพลาดในวันนี้ จะกลายเป็นความผิดพลาดสุดท้ายบนโลกใบนี้”

“ตลกดีนะ บังเอิญวันนี้ฉันก็ ‘อารมณ์ดี’ เหมือนกัน, ฉันจะปล่อยให้พวกแกเดินออกไปดีๆ แบบกระดูกเข่ายังติดอยู่กับเบ้า” Elspeth สวนกลับ, ไอ้คนพวกนี้รู้จักแต่เรื่องการใช้ความรุนแรง และทางเดียวที่จะล่อพวกมันออกมา ก็คือต้องใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

“อะไรของแก-” ชายที่สวมถุงมือสีแดงคำรามขึ้น

“นังนี่นิ” หญิงอีกคนพุ่งเข้าจะโจมตี Elspeth แต่ชายที่เป็นหัวหน้าก็หยุดลูกน้องของเขาเอาไว้

เขาดึงเธอเข้าไป มองด้วยสายตาหมายข่มขู่ลูกน้องของเขา “ข้าคือคนที่ออกคำสั่ง, และเราจะไม่โจมตีใคร ถ้าข้ายังไม่ได้สั่ง”

“แต่นังนี่มั-”

“และพวกเรา จะละเลงถนนทั้งสายให้กลายเป็นสีแดงชายคนนั้นปล่อยมือที่จับไหล่ลูกน้องของเขา, Elspeth เองก็ไม่ได้รอให้การโจมตีนั้นเข้ามาถึง

เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่เธอทำมันมากพอที่จะทำให้กลุ่มผู้บุกรุก เปลี่ยนเป้าหมายจากเจ้าของร้านมาเป็นเธอแล้ว

และตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องเอาตัวให้รอดแทนเจ้านายของเธอแล้ว

โดยปกติกับคู่ต่อสู้ที่หมายหัวเธอพร้อมๆ กัน 4 คนนั้น ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไรกับ Elspeth อยู่แล้ว, แต่กับคู่ต่อสู้ที่มากับอาวุธจัดเต็มแล้ว, Elspeth มองว่าการล่าถอยคงจะเป็นแผนที่ดีกว่า

เธอวิ่งออกไปยังถนนของ Mezzio โดยที่มีหน่วยควบคุมของ Maestro ทั้งสี่วิ่งไล่ตามหลังมา

Elspeth วิ่งหลบไปมาระหว่างผู้คนมากมายในท้องถนน, พวกเขามองเธอด้วยสายตาเหยียดๆ แต่ก็หาได้สนใจเธอไม่, เพราะการไล่ล่า และวิวาทนั้นเป็นเรื่องปกติของ New Capenna อยู่แล้ว

 


Maestros' Dominion

 

“คิดว่าจะหนีพวกเราได้เหรอไง?” หญิงสาวหนึ่งในกลุ่มผู้ไล่ล่าตามมาขนาบข้าง
“พวกเราฝึกมาเพื่องานนี้ แต่แกเป็นแค่ผู้ช่วยร้านซักผ้า!”

เธอชักดาบออกมาจากฝัก ตวัดมันเป็นวงกว้างเสียจนเฉียดผู้คนที่สัญจรไปมา, แต่ Elspeth ก้มหลบคมดาบที่ตัดแหวกอากาศไป, แรงเหวี่ยงของมันยังส่งให้เจ้าของดาบตั้งหลักไม่ได้

Elspeth ก้าวเท้าเข้าประชิด ก่อนจะส่งกำปั้นของเธอสวนเข้าไปที่ลำตัวของเป้าหมาย

 

แต่กลับเป็น Elspeth ที่ถอยร่น และร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

หมัดลุ่นๆ ของเธอกลับปะทะเข้ากับชุดเกราะเหล็กที่ซ่อนอย่างแนบเนียนไปกับเสื้อผ้าสวยหรูตามแฟชั่น, หญิงจากตระกูล Maestro แสยะยิ้ม โชว์เขี้ยว Vampire ของเธอออกมา…

หลังจากกระดูกมือต้องไปกระแทกกับเหล็ก ก็ต้องมาพบว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแล้วคือ Vampire ซ้ำสอง, นี่มันวันอะไรของเธอเนี่ย?

“แกเล่นผิดคนแล้ว” Vampire สาวคนนั้นยิ้มออกมา

Elspeth ถอยร่นออกมา, เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายอีกคนเริ่มร่ายเวทย์จากด้านหลัง และดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างแออัดถนนเสียเลย

และนั่น ก็บอกเป็นนัยๆ ว่าถ้าหาก Elspeth ยังเลือกที่จะยื้อการต่อสู้ใว้ที่ตรงนี้ มันคงจะมีคนที่โดนลูกหลงไปด้วยแน่ๆ

ชายคนนั้น ชี้นิ้วในถุงมอสีแดงของเขามาทาง Elspeth, เธอก้มหลบพลังเวทย์ที่พุ่งออกมา ก่อนที่จะวิ่งผลักคนงานที่ตะโกนด่าเธอตามหลัง

ทว่า เสียงนั้นก็เงียบไปทันทีที่คนจาก Maestro ทั้ง 4 วิ่งตามมา

 

Elspeth วิ่งลัดเลาะเข้าตรอกซอกซอย, ทว่า ไม่ว่าเธอจะเลี้ยวซักกี่หัวโค้ง, ปืนข้ามซักกี่กำแพง แต่มันก็เหมือนจะไม่ได้ผล พวกนั้นยังคงไล่กวดเธออย่างไม่ลดละ

จนกระทั่งเธอเองถูกไล่ต้อนสู่เส้นทางที่ไม่สามารถหนีได้อีกต่อไป

สายลมหวีดหวิวกรีดร้องความว่างเปล่าตรงหน้า

ถนนที่พาเธอมาได้ถึงตรงนี้ มันขาดหายไปเสียดื้อๆ มันกลายเป็นสะพานที่ยังสร้างไม่เสร็จ, และปลายทางของมันก็คือท้องฟ้าอันว่างเปล่า

แม้ว่าปลายทางที่เธอเห็น มันยังมีความเป็นไปได้ที่จะกระโดดข้ามสะพานไปยังอาคารที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จใกล้ๆ กัน

แต่ถ้าเธอเลือกทางนั้น จังหวะที่ร่างของเธอเหยียบพื้น มันกลับไม่มีพื้นที่มากพอให้เธอลงได้อย่างปลอดภัย

ส่วนพื้นเบื้องล่างที่รอรับยามเธอพลาด เป็นเพียงพื้นที่สีแดงฉาน ราวกับทะเลเลือด ที่ห้อมล้อมด้วยกองไฟ

 

“อ้าว ไปต่อไม่ได้ซะเแล้ว” ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้น ส่วนลิ่วล้อของเขาก็ตามมาสบทบข้างๆ อย่างไร้วี่แววของความเหนื่อยอ่อน, สายตาทุกคู่จ้องมาที่ Elspeth ด้วยความโมโห
“จะหนีไปไหนดีล่ะทีนี้?”

ไม่แล้ว เธอไม่มีทางหนีไปไหน, ทางออกเดียวก็คือทางที่เธอเข้ามา… ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเป็นด้านล่าง… สู่เปลวเพลิง และหมอกควันแห่ง Caldaia… โดยไม่มีอะไรมาช่วยชะลอไม่ให้ร่างของเธอกระแทกพื้นได้เลย

“วันนี้ ข้าอารมณ์ดี” หัวหน้ากลุ่ม Maestro พูดขึ้น
“ก็คงจะแค่อัดแกให้น่วม, เอาให้ฟันร่วงซักสอง-สามซี่, เอาให้ปากหมาๆ ของแกเลิกยียวนกวนอวัยวะเบื้องล่าง ก็คงจะพอแล้ว”

แค่ฟังก็รู้ว่าเขาไม่ได้พูดตามที่เขาคิดแน่ๆ, และความรู้สึกผิดก็เข้ามาทำให้ Elspeth ไม่สบายใจ

คนที่ไม่รู้เรื่องที่ท้องถนนของ Mezzio จะต้องบาดเจ็บเพราะการไล่ล่าที่เธอเป็นต้นเหตุ… เพียงเพราะเธอไม่อยากจะโดนคนพวกนี้ซ้อม… หรือยอมเจ็บยิ่งกว่านั้น

 

ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มยกนิ้วขึ้นมา ชี้ไปที่ Elspeth, พลังสายฟ้าวิ่งไปมาระหว่างนิ้วทั้งสองของเขา อากาศรอบๆ พลันระอุขึ้นมา
“เตรียมตัวตายได้เลย”

Elspeth เผลอหลุดขำออกมา “เสียใจด้วยนะ แต่ฉันน่ะ เคยตายมาแล้ว”

 

เขายิงเวทย์สายฟ้าออกมา

Elspeth พุ่งม้วนตัวหลบพลังเวทย์ไปยังถนนที่เป็นทางออก, กระนั้น เธอก็ไม่วายคว้าข้อมือของ Vampire ที่ใช้มีดเป็นอาวุธได้ทัน, Elspeth อาศัยแรงเหวี่ยงส่งเอาร่างของ Vampire สาวตัวนั่น พุ่งอย่างไร้หลักไปกระแทกเข้ากับกองเหล็กเส้นที่เป็นวัสดุก่อสร้าง

“เก่งนักเรอะ!” ชายถุงมือแดงกระโจนเข้ากระแทกจน Elspeth ล้มลงกับพื้น, แต่เธอก็อาศัยแรงนั้น เตะให้เขาลอยออกไป ทว่าลิ่วล้ออีกคนก็พุ่งเข้ามาจับเธอต่อทันที

หัวหน้ากลุ่มเริ่มร่ายมนต์อีกครั้ง

 

Elspeth รู้แล้วว่าเธอไม่ได้เสียเปรียบเรื่องจำนวนนเพียงอย่างเดียว, ตอนนี้เธอยังไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนได้ ทั้งสองยังแลกหมัดกันอย่างชุลมุน, แต่สุดท้ายแล้ว มันจะเป็นตัวเธอเองที่หมดแรงไปก่อนนักเลงพวกนี้

เธอต้องถอย… ไม่ก็ต้องหาอาวุธ

 

ท่อเหล็กที่โผล่ออกมาจากสะพานที่ยังสร้างไม่เสร็จนั้นช่างสะดุดตาของเธอเหลือเกิน, Elspeth อาศัยจังหวะถอยออกมา, พลังเวทย์บินเฉียดหัวเธอไป แต่เธอก็คว้าเอาท่อเหล็กนั้นมาได้

มันอาจจะไม่ใช่อาวุธทรงพลังเฉกเช่นหอกแห่งพระเจ้าที่เธอเคยใช้, แต่มันก็มากพอจะช่วยให้เธอพลิกกลับมาได้เปรียบในสถานการณ์นี้

“เหอะ? นี่แกคิดจะใช้ไอ้เหล็กนั้นม-” คนของ Maestro ยังไม่ทันจบประโยคของเขา, แต่เหล็กท่อนเดียวกันนั้น ก็ฟาดเขาขมับ และส่งเขาลงไปกองกับพื้น

นักเลงที่เหลืออีกสองคนแน่นิ่งไปด้วยความตกตะลึง, พวกเขารู้แล้วว่าพวกเขาเองนี่แหละ ที่เป็นฝ่ายคิดผิด

Elspeth ฟาดพลองเหล็กเรี่ยต่ำไปกับพื้น, นักเลงหญิงกระโดดหลบไปได้ แต่นายถุงมือแดงนั้น โดนมันฟาดเข้าข้อเท้าไปเต็มๆ, ด้วยท่วงท่าที่ต่อเนื่อง พลองเหล็กอันนั้นก็ควงกลับไปซัดเข้าที่ขมับของนายถุงมือแดง และนักเลงหญิง

 

ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่หัวหน้ากลุ่มแล้ว

“จ- ใจเย็นๆ ก่อนนะ” เขายกมือขึ้นมา
“เราค่อยๆ คุยก-”

เขายิงเวทย์ออกมาจากมือที่สั่นเทา คาดหวังให้ Elspeth ที่ไม่ทันระวังตัวจะโดนมันเข้าไป

แต่เธอมองท่าทีของเขาออกตั้งแต่แรก, เธอหลบฉาก และเข้าประชิด พร้อมกับเสียงกระแทกหนึ่งครั้ง, ร่างของมันก็ลงไปกองกับพื้น

 

ความกดดันของการต่อสู่ค่อยๆ จางไป, Elspeth ผ่อนท่าทีของเธอ และดูอาการของพวกนักเลงพวกนี้

เธอไม่อยากจะให้พวกเขาต้องเจ็บกับแผลระบมมากมายหลังจากที่ได้สติกลับมา… แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ยังหายใจอยู่

Elspeth ไม่ได้อยากจะสังหารใคร โดยเฉพาะถ้ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนของ Maestro ต้องมาไล่ล่าเธอเพื่อตามแก้แค้น

พวกเขาอาจจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจากตระกูลมาเฟียของตัวเอง, แต่เธอเองเคยปะทะกับเทพเจ้ามาแล้ว, มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะเธอได้

 


Heliod's Punishment

 

Elspeth กำลังจะเอาท่อนเหล็กกลับไปวางที่เดิม ก่อนที่จะมีเสียงปรบมือดังขึ้น

เธอหันกลับไป ท่อนเหล็กนั้นพุ่งแหวกอากาศไปจ่ออยู่ที่คอหอยของเป้าหมาย

เขาเป็นชายที่ผิวพรรณดี, ผมสีเข้มที่หวีจนเรียบรับกับปกเสื้อที่ตั้งสูง, หนวดเคราของเขาถูกจัดแต่งมารับกับโครงหน้า และริมฝีปากที่ยังแสยะยิ้มออกมา, เสื้อผ้าของเขาดูคล้ายคลึงกับพวกนักเลงที่เธอพึ่งจะซัดให้หมอบไป

 

“เพื่อนๆ ของนายแค่งีบไปน่ะ” Elspeth จ้องไปที่ดวงตาสีอ่อนๆ ของเขา “ฉันไม่อยากมีเรื่อง”

“แต่เรื่องก็มาหาเธอสินะ” นั่นเป็นคำพูดที่แสนจะหลอกหลอน Elspeth… ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน มันก็ต้องมีเรื่องตามมาทุกทีสินะ
“อย่างแรกเลย พวกนี้ไม่ใช่ ‘เพื่อน’ ของข้าหรอก, น่าจะเป็นภาระเสียมากกว่า… คือพวกนี้น่ะ ไม่ใช่หน่วยควบคุมของ Maestro หรอก, ฉะนั้น ข้าต้องขออภัยความไร้รสนิยมของพวกนี้ด้วย”

“งั้น‘ภาระ’ของนายก็ถือว่าโชคดีที่ฉันมีแค่ท่อนเหล็กเป็นอาวุธ” Elspeth ตอบทั้งๆ ที่ท่อนเหล็กของเธอก็ยังจ่ออยู่ที่คอหอยของชายรูปงาม, เพียงส่งแรงกระทุ้งเข้าไป หลอดลมของเขาก็คงเสียหาย และก็คงเป็นส่วนหนึ่งของภาระที่จะนอนกองอยู่บนพื้น
แต่กระนั้น Elspeth เองก็ไม่ได้มีแรงจูงใจอะไรที่จะสังหารใคร

“ข้อนั้นข้าก็เห็นด้วย” ชายคนนั้นเอานิ้วของเขาขึ้นมาแตะที่พลองเหล็ก
“ทำไมไม่เอาไอ้ท่อนเหล็กนี่ออกไปให้พ้นทาง, แล้วมาคุยกันดีๆ ล่ะ?”

Elspeth กระชับอาวุธของเธอ “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย, ฉันแค่อยากจะทำงานของฉันอย่างสงบๆ”

“แล้วถ้า… ข้ามีงานให้เจ้าทำล่ะ?”

“ฉันไม่สน”

“อ่าว? เลือกฝักฝ่ายไปแล้วงั้นเหรอ?” ชายคนนั้นมองมาที่เธอหัวจรดเท้า เอานิ้วมาแตะที่คางของตัวเองอย่างพินิจพิจารณา, ราวกับว่าท่อนเหล็กที่จ่อคอหอยนั้นไม่มีความหมายอะไร

“ฉันไม่ได้เลือกฝ่ายอะไรทั้งนั้นแหละ และก็ไม่สนเรื่องนั้นด้วย, ฉันแค่อยากทำงานเอาตัวรอดไปวันๆ, เราจบกันตรงนี้เถอะนะ”

ชายคนนั้นถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ “ก็ได้นะ, น่าเสียดายความสามารถที่เจ้ามี”

 

Elspeth ค่อยๆ ถอยออกมา แม้สายตาจะยังจับจ้องอยู่ที่เป้าหมาย, แต่ชายคนนั้นกลับยังยืนอยู่ที่เดิม

เธอค่อยๆ ถอยไปจนถึงกองเหล็กเส้นด้านที่เธอจะเอาอาวุธกลับไปเป็นวัสดุก่อสร้าง… มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดูแย่ไปซักหน่อย เพราะนั่นมันเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวที่เธอมี ทั้งๆ ที่ ชายเบื้องหน้าอาจจะยังเป็นภัยกับเธอก็เป็นได้

 

เขาเอามือล้วงกระเป๋า ในขณะที่ Elspeth กำลังจะเดินผ่านไป, สายตาของเธอก็ยังจับจ้องไว้ที่เขา

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

และเมื่อ Eslpeth กำลังจะเดินเข้าตรอกใกล้ๆ นั้น ชายคนเดิมก็พูดขึ้นมา

“ก็ถ้าเจ้าอยากจะ‘ใช้ชีวิต’ให้ง่ายขึ้นแล้วละก็… งานที่ข้าจะให้เจ้าทำเนี่ยะ รับประกันเรื่องเงินเลยนะ” Elspeth มองมา แต่เท้าของเธอก็ยังก้าวต่อไป
“ไม่สนเงินสินะ, งั้นถ้าเป็น Halo ล่ะ?”

Elspeth นิ่งไป

“นั่นไง, ยังไงก็ต้องเป็น Halo สินะ?”

Elspeth เคยได้ยินเรื่องของ Halo มาบ้าง, แม้ว่าเธอจะไม่รู้อะไรไปมากกว่าชื่อของมัน, เธอตอบกลับ 

“ยังไงล่ะ?”

“เธอจะได้ราวๆ สามเท่าของที่เธอหาได้ตามปกติ, พวกเราอาจจะไม่ใช่ Cabaretti แต่คลังของเราก็ไม่เคยว่างหรอกนะ”

“ทำไมนายถึงคิดว่า ‘ฉัน’ จะอยากได้มันล่ะ?” Elspeth พยายามเรียบเรียงคำถามไม่ให้ชายคนนั้นรู้ว่า เธอไม่รู้จัก Halo ดีพอ

แต่เขาก็หรี่ตามองกลับมา สายตาที่เปลี่ยนจากความสงสัยไปเป็นความแน่ใจ

“เจ้าไม่ใช่คนแถวนี้”

“ใช่สิ ฉันอยู่ที่นี่แหละ” Elspeth ยักไหล่ และเดินต่อ

เสียงฝีเท้าของชายคนนั้นเข้ามาประชิดตัว “ไม่, ไม่หรอก ใครก็ตามที่เป็นชาว New Capenna ต้องรู้ว่าจะอยากได้ Halo ไปทำอะไร? ทุกคนต้องมีเหตุผลของตัวเองอยู่เสมอๆ” เขาหันไปมองตาเธอ
“แม้ว่าเจ้าจะแต่งตัวแฉกเช่นชาว New Capenna, แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนนอก”

คนนอก คำนี้อีกแล้ว, มันบ่อยเสียจนเกินจะนับไหว , เหตุใด Elspeth ถึงต้องเป็นคนที่ถูกกีดกันออกจากผู้อื่น? ทำไมเธอต้องเป็นคนนอกเสมอ? แต่ทุกครั้งที่ได้ยินคำนี้ มันก็ยิ่งทำให้เธอเจ็บ ไม่ต่างจากเดิม

“แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก!” ชายคนนั้นพูดต่อ, เขาน่าจะสังเกตอาการของ Elspeth ได้
“ยังไงเราก็ต้องเริ่มจากที่ใดที่หนึ่งก่อนเสมอ, แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่สนใจจะเริ่มต้นกับ Maestro กันล่ะ? พวกเราไม่ค่อยเปิดโอกาสรับเด็กใหม่บ่อยๆ หรอกนะ โดยเฉพาะคนจากเขตซอมซ่ออย่าง Mezzio
ไม่อยากจะเชื่อว่าทนอยู่กันไปได้ยังไง? เอาเถอะ, ถ้าเจ้ารู้ประวัติศาตร์ของ New Capenna, เจ้าจะประหลาดใจว่าทุกๆ ตระกูลที่นี่ก็เริ่มมาจาก Park Heights ทั้งนั้น”

ชายคนนั้นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะยื่นมือออกมา
“ขออภัย, ข้านี่ช่างไร้มารยาทเสียจริง ข้าชื่อ Anhelo

 


Anhelo, the Painter

 

Elspeth มองไปยังมือที่ยื่นออกมาอย่างระมัดระวัง, เธอไม่อยากจะจับมือทำความรู้จัก เพราะมันอาจจะหมายถึงเธอเองยอมรับข้อตกลงที่เขายื่นให้ - ข้อตกลงที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง

Elspeth จึงเดินต่อไป แต่ก็ตอบกลับตามมารยาทไป

“ฉันชื่อ Elspeth”

“Elspeth งั้นเหรอ? ฮ่า, เหมือนชื่อเจ้าจะโบราณไป 2-3 ชั่วอายุคนได้” Anhelo หัวเราะออกมา และเดินตามเธอไปในตรอกเมื่อครู่

ทั้งคู่เดินไปเจอกับน้ำพุที่สลักลวดลายอย่างสวยงาม, Elspeth เดินไปหยุดมองมัน… มองรูปสลักที่โดดเด่นออกมาจากตัวน้ำพุ

“สนใจมันสินะ?” Anhelo หัวเราะออกมาเบาๆ “รูปสลักแบบนี้มีทั่วทั้งเมืองจนน่าสงสัยล่ะสิ?”

“รูปแบบนี้งั้นเหรอ?” Elspeth ชี้ไปที่รูปสลักนั่น, หวังว่า Anhelo จะช่วยบอกข้อมูลเพิ่มเติมให้กับเธอ และก็แน่นอน เขาพูดต่อ

“หมายถึงนางฟ้าน่ะ” เขาพยักหน้าไปทางรูปสลักทั้งสองที่พัวพันอยู่ในการต่อสู้, หญิงสาวที่มีปีกสยายอยู่ ชูดาบขึ้นเหนือร่างของศัตรูที่อยู่เบื้องล่าง

ร่างของนางฟ้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ Elspeth ให้ความสนใจหรอก, แต่เป็นร่างที่กระดูกสันหลังของมันปูดโปนจากหลังค่อมๆ, มันชูกรงเล็บคมกริบราวกับจะคืบคลานเข้าหาร่างของนางฟ้า, ใบหน้าของมันเหมือนหัวกระโหลกเปล่าเปลือยที่เต็มไปด้วยซี่ฟันโง้งยาวจนชวนสยองขวัญ

รูปของปีศาจแห่งฝันร้าย

“รูปสลักของนางฟ้ามีอยู่ทั่วเมืองนั่นแหละ, มันเป็นเครื่องเตือนใจเมื่อครั้งโบราณกาล, สงครามกับเรื่องทั้งหลายแหล่ ที่ตอนนี้ไม่ต้องไปสนใจมันแล้วก็ได้ เพราะสิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่เศษซากของอดีต”

สงครามในกาลก่อนงั้นหรือ? นางฟ้า… สิ่งที่ Elspeth จ้องอมองอยู่ไม่ใช่นางฟ้า แต่เป็นปีศาจร้ายที่ยังโรมรันอยู่ด้วยกัน… Anhelo อาจจะไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร… แต่สำหรับเธอแล้ว เธอรู้จักมันดี

 

มันคือ Phyrexian

 

- ณ Dominaria ก่อนหน้านี้ -

 

“ในช่วงที่เจ้า-” Ajani นิ่งไป เพื่อจะหาคำพูดที่ดีกว่าคำว่า 'ตาย' “- ไม่อยู่, ข้าได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับดาวบ้านเกิดของเจ้า…” 
“ข้าพบมันแล้ว”

“หา!” Elspeth หันกลับมามอง Ajani อีกครั้ง หัวใจของเธอเต้นระรัว บ้าน ดาวที่เธอทิ้งมันไปตั้งแต่ยังเยาว์ และไม่รู้ว่าจะหวนกลับไปได้อย่างไร?

“มันชื่อว่า New Capenna

“New Capenna” Elspeth พูดทวนขึ้นมาลอยๆ, ราวกับมันจะช่วยให้เธอระลึกถึงความทรงจำที่มืดหม่นได้อย่างชัดเจนขึ้น
“ทำไมท่านไม่บอกกับข้าให้เร็วกว่านี้?”

“ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าเป็นอย่างไรมากกว่า”

“ข่าวนี้ทำให้ข้ารู้สึกดีมาก, New Capenna ใช่มั้ย?”

“ใช่แล้ว, ตามที่ Karn ได้ค้นคว้ามา, แม้ว่าเรื่องที่ได้มาจากดาวดวงนั้นจะเป็นประวัติศาสตร์ของมัน มากกว่าจะเป็นเรื่องของเจ้าก็เถอะ” Ajani พูดด้วยเสียงหนักแน่น
“ที่จริงพวกเรากำลังวางแผนจะบุกโจมตีดาว New Phyrexia, แต่เราก็อยากได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ก่อนที่จะเริ่มแผน - ก่อนที่เราจะรู้แน่ชัดว่าเราจะชนะศึกนี้ได้”

 


Mirrodin Besieged

 

“แล้ว New Capenna เกี่ยวอะไรกับ Phyrexian งั้นหรือ?” ความกังวลก่อตัวขึ้นมาดึงความสุขของเธอเมื่อครู่… Phyrexian นั้นสร้างความวิบัติในทุกๆ ที่ ที่พวกมันไปเยือน… แล้วที่ New Capenna จะยังหลงเหลืออะไรให้เธอหวนกลับไปอีกงั้นหรือ?

“มันเป็นเรื่องในอดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว, และเมื่อ New Capenna ยังเป็นเมืองที่อยู่ที่นั้น… นั่นก็หมายถึงพวกเขาจัดการภัยร้ายในอดีตไปได้แล้ว”

“และนั่นก็เป็นสิ่งที่ท่านต้องการให้ข้าสืบหาสินะ?” Elspeth เดาขึ้นมา

“ใช้แล้ว” Ajani จับไหล่ของ Elspeth เอาไว้
“ก่อนที่เจ้าจะไปที่นั่น… ได้โปรดให้คำสัญญากับข้าด้วย, ว่าเจ้าจะกลับไปทบทวนเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้, 
ข้าเข้าใจว่าภารกิจนี้ มันจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าในที่สุด,
และข้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพบสิ่งที่เจ้าตามหา… สิ่งที่เจ้าต้องการที่ New Capenna

แต่ได้โปรดทบทวนถึงสิ่งที่ข้าพูดไป… เจ้ารู้สึกเหมือนอยู่บ้านเมื่อเจ้าพบกับสันติสุขที่อยู่ในตัวของเจ้า…
เจ้าอาจจะเคยสังหารพระเจ้า, เจ้าเอาชนะความตาย, เจ้าผ่านอะไรมามากมาย Elspeth… ถ้าเจ้าผ่านมันมาได้ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะเอาชนะตัวเองได้… เจ้าจะเจอความมั่นคงที่เจ้าตามหา”

“ข้าจะทำมันให้เต็มที่” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอมั่นใจว่าจะให้ Ajani ได้

“ข้ารู้ว่าเจ้าเต็มที่, แต่ข้าก็ขอให้เจ้าระวังตัวให้ดี” Ajani ดึงเธอเข้าไปกอดอีกครั้ง
“อย่าให้ข้าต้องได้เห็น หรือได้ยินเรื่องความตายของเจ้าอีกเลย”

“ข้าก็อยากจะเลี่ยงเรื่องนั้นเหมือนกัน” Elspeth พูดขึ้น ตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ

ความสนุกสนานของเธอกลับมาอีกครั้งในรอบหลายปี, เธอ Planeswalk ออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง… มุ่งหน้าสู่สถานที่ ที่เธอหวังให้มันเป็นบ้านของเธอ

 

- ปัจจุบัน ณ ใจกลางเมือง Mezzio -

 

“สรุปว่ายังไงดี?” Anhelo ถามซ้ำ
“เงินดี, มีที่พัก, มีตำแหน่ง, งานส่วนใหญ่เจ้าก็จะได้กลับมาทำแถวๆ นี้ นั่นแหละ”

งานส่วนใหญ่ Elspeth รู้ดีกว่ามันไม่ใช่แค่งานเบาๆ ไม่กี่งานหรอก, เธอไม่ได้อยากให้มือของเธอต้องเปื้อนเลือดในสงครามระหว่างตระกูลมาเฟียของ New Capenna

แต่ถ้าทุกอย่างที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริง, นี่ก็คือโอกาสที่ดีที่สุดที่เธอจะได้เรียนรู้เรื่องราวของ New Capenna, เรื่องที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และหวังว่ามันจะช่วยให้สิ่งที่ Ajani พูดมาเป็นเรื่องจริง

“แล้ว… ที่พิพิธภัณฑ์ของ Maestro ก็จะมีข้อมูล หรือรูปปั้นแบบนี้อยู่ด้วยใช่มั้ย?”

“ข้อมูลเพิ่มเติมงั้นเหรอ?” เขาหัวเราะออกมา
“ครอบครัวของเรามียิ่งกว่านั่นอีก, มีทั้งข้อมูล ทั้งรูปปั้น, รูปสลักที่เจ้าถามหา, ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณผู้ดูแลของเรา”

“งั้นก็ดี” Eslpeth ตอบตกลงแบบอ้อมๆ เธอไม่ได้อยากจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมาเฟียไหนๆ หรอก, แต่นี่มันก็เป็นเรื่องจำเป็น… เพราะมันอาจจะให้ข้อมูลเรื่อง Phyrexian ที่ Ajani และ Gatewatch ต้องการ

“รับประกันว่าเจ้าจะไม่ผิดหวัง” Anhelo โอบไหล่ Elspeth และพาเธอออกเดิน
“พวกเรา, ตระกูล Maestro เป็นตระกูลที่รู้จักเมือง New Capenna เหนือกว่าตระกูลไหนๆ, และถ้าเจ้าอยากได้ข้อมูลอะไร เจ้าจะได้มันไป”

สีหน้าของ Anhelo ในตอนนี้แสนจะมีความสุข, เขาคิดว่าเขาเองเจอสิ่งที่ Elspeth จะยอมแลกทุกอย่างมาแล้ว

ทว่า สำหรับ Elspeth นี่คือการเดินตามแผนที่เธอเลือก และเธอจะไม่ยอมให้ใครหลอกใช้

 

- บทส่งท้าย - ณ ห้องลับหลังบาร์ -

 

Adversary นั่งอยู่ในห้องกระจก, ประตูทางเข้าของมันถูกซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือในบาร์ และไม่ว่าใครก็ตามที่อยากจะเข้ามาถึงที่นี่, เขาเหล่านั้นต้องรู้รหัสลับ และมนต์ที่ช่วยพรางตาทั้งหมดเสียก่อน

และมันก็อาจจะต้องเสี่ยงฝ่าฟันมาด้วยชีวิต

 

บรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูงที่ขึ้นตรงกับ Adversary นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน ใต้แสงเรืองสีม่วงๆ, พวกลิ่วล้อเหล่านี้นี้ต้องซื่อตรงและทำงานกับ Adversary ตราบเท่าที่พวกเขายังหายใจ และยังมีประโยชน์อยู่

“- และนั่นคือสิ่งที่แท่นบูชา (The Font) เป็น” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ยศสูงจบประโยคของเขา

Adversary หัวเราะออกมาอย่างสุดพลัง งั้นเหรอ? นี่นะหรือคือ The Font? พลังอันมากล้น แต่ยังห่ามเกินกว่าจะเก็บเกี่ยว

พวก Cabaretti กลับเร่เอามันไปอวดโฉมให้ชวนขโมย

“พวกแกรู้ใช่มั้ย ว่าที่พูดมาหมายถึงอะไร?” Adversary พูดกับลิ่วล้อของเขา, มือเปิดจุดขวด Halo, สายตาหิวกระหายของคนในห้องต่างจับจ้องมายังของเหลวที่ไหลรินลงไปในแก้ว “มันก็หมายความว่า เทศกาล Crescedo จะกลายเป็นงานปาร์ตี้โคตรสุดเหวี่ยงยังไงล่ะ”

 

Ob Nixilis ส่งแก้วที่เติมเต็มด้วย Halo ไปรอบๆ ก่อนที่จะชูแก้วของเขาขึ้นมา

“แด่การครอบครองดวงดาวนี้!”

 

 

 Magic Story By Elise Kova