- ณ วิหารแห่งพระเจ้า -

 

รสชาติของชัยชนะ และการถูกหักหลังนั้นไม่ต่างกัน… มันคือรสของเลือด

 

เลือดที่เอ่อท่วมปากของ Elspeth… เลือดที่ไหลซึมจากมุมปากของเธอ

มือที่จับหอกอันคุ้นเคยไว้อย่างตั้งมั่น ราวกับเธอจะยื้อแย่งมันมาจากหัตถ์แห่งเทพ Heliod ได้…

Elspeth พยายามจะเอาคมหอกที่ปักร่างของเธอออกไป… แต่เรี่ยวแรงของเธอก็จากลาไปก่อนวิญญาณจะหลุดลอยไปจากร่างเสียอีก

 

เสียงคำรามของ Ajani ดังมาแว่วหู, เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะให้ความช่วยเหลือได้… ทว่า ถ้าเขาอยู่ใกล้ๆ เขาจะทำอะไรได้อย่างงั้นหรือ?

ด้วยร่างกายที่บอบช้ำจากศึกกับอีกหนึ่งเทพอย่าง Xenagos เขาคงไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้

อันที่จริงแล้ว… ชีวิตของ Elspeth นั้นได้สิ้นไปตั้งแต่เธอเลือกจะทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับเทพ Erebos

เทพแห่งความตาย…

เทพผู้เป็นปรปักษ์ตลอดกาลกับเทพ Heliod

สัญญาแลกเปลี่ยนแห่งความปรารถนา… เพื่อแลกเปลี่ยนชีวิต Elspeth กับ Daxos คนรักของเธอ

การที่ Heliod ลงมือสังหารตัวแทนของตนเองนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงอะไร นอกจากมันจะเป็นเพียงคำตอบของ Heliod ที่ท่านเอามันไปโยงกับเรื่องการละเมิดกฏของโลกใบนี้

“นำร่างของเธอกลับไปที่โลกมนุษย์ (Mortal Realm) เสีย, เจ้ามนุษย์เสือ… นำเธอไปหา Erebos” Heliod สั่ง Ajani ก่อนที่จะดึงเอา Godsend - อาวุธแห่งเทพที่เคยเป็นดาบของ Elspeth… อาวุธที่กลับกลายไปเป็นหอกของเทพ Heliod อีกครั้ง

เมื่อไร้โลหะที่ค้ำร่าง, Elspeth ก็ทรุดลงกับพื้นทันที… ร่างที่เต็มไปด้วยภาระอันหนักอึ้งของความเป็นปุถุชน และอาการบาดเจ็บจากศึกเมื่อครู่ก็ยิ่งดึงให้เธอยอมแพ้

“ถ้าเจ้าปล่อยให้เธอตายที่นี่, เธอจะสลายหายไป” ดวงตาของ Heliod หรี่ลงด้วยความไม่พึงพอใจ, แม้ว่า Elspeth จะเคยเป็นนักรบตัวแทนของเขา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น

ทั้ง Elspeth และ Ajani ต่างฝ่าฟันเพื่อเข้าสู่โลกแห่งเทพ (Nyx), ปราบ Xenagos ที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายลงได้… และทำให้ทุกๆ อย่างกลับไปเป็นตามวิถีทางที่ถูกที่ควร

แต่ชัยชนะเหนือเทพ Xenagos นั้น ไม่ได้ลบล้างความผิดที่ Elspeth มี… การละเมิดกฏด้วยการสังหารพระเจ้า… และการละเมิดกฏข้อนี้เพียงข้อเดียว ก็ทำให้ Heliod ไร้ปราณีกับเธอ

 


Deicide (Elspeth Vs. Xenagos)

 

“Elspeth!” Ajani ร้อนรนเข้าหาเพื่อนของเขาด้วยร่างกายที่บาดเจ็บ

Elspeth เอามือกุมไปที่แผลฉกรรจ์ของเธอ… มันช่างดูสิ้นหวังเสียเหลือเกิน… เธอพยายามกระซิบเรียก Ajani, แต่ร่างของเธอไม่ตอบสนองความต้องการของเธอเสียแล้ว

Ajani โอบอุ้มร่างของ Elspeth ขึ้นมา, โลกของ Elspeth หมุนไปมารอบๆ ตัว Ajani ในขณะ ที่เขาพาเธอออกไปจากโลกแห่งเทพ ก่อนจะจะรู้ตัว, เธอก็นอนลงบนพื้นของโลกมุนษย์แห่ง Theros เสียแล้ว

“อดทนไว้นะ” Ajani ร้องขอ และจับมือของเธอเอาไว้ “ข้าจะตามคนมาช่วย”

เธอทำได้เพียงกระพริบตา… และมันก็ช้าลงทุกๆ ครั้ง… 

ภาพของ Ajani ที่มาๆ หายๆ, ภาพที่เห็นเริ่มไม่ชัดเจน แต่บางครั้งก็กลับมาคมกริบ

ทุกครั้งๆ ที่ Ajani หายไป มันทำให้เธอเจ็บปวด… เธอไม่อยากตายอยู่ที่นี่อย่างเดียวดาย… แต่เธอก็ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะร้องเรียกใคร

 

เสียงตะโกนดังแว่วมา ราวกับสงครามได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง… หรือนั่นจะเป็นเพียงเสียงสะท้อนจากศึกกับ Xenagos ที่ยังวนอยู่ในหัวของเธอกันแน่?...

แต่ช่างมันเถอะ… คืนวันแห่งการศึกของเธอได้จบลงแล้ว…

ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายของเธอ, เธอลืมตามองไปยังท้องฟ้า… เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังมองหาอะไร… ดวงตาที่จ้องไปยังความมืดมิดระหว่างดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า มอบความเงียบสงบให้กับเธอ

ลมหายใจอันแผ่วเบาของเธอหลุดลอยออกมา… มันเป็นเวลาที่นานเกินกว่าจะจำได้ ที่เธออยากจะหยุดพักเสียที… มันอาจจะเป็นเวลานี้ก็ได้ ที่ Elspeth ได้พบมันเสียที

แสงสว่างวาบปรากฏขึ้นมา ราวกับจะตัดผ่านแยกสวรรค์เป็นสองส่วน

 

- ณ พิพิธภัณฑ์แห่งอัจฉริยะศิลป์ -

 

ความหรูหรา และความวุ่นวาย : สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ และวิถีชีวิตแห่ง New Capenna

ทิวทัศน์ของเมืองที่ถักทอตัวเองด้วยโลหะสลักลาย ขึ้นต่อกรกับท้องฟ้าอย่างท้าทายความเป็นจริง

งานตกแต่งด้วยกระจก ที่สะท้อนน้ำตกและน้ำพุจากสวนที่ถูกจัดแจงอย่างเป็นระบบเบื้องล่าง

ถ้าหาก Xander บันทึกภาพที่เขาเห็นในขณะนี้ลงไปในกระดานผ้าใบได้ด้วยพู่กัน หรือปากกาก็คงดี… แต่เขาก็รู้ว่าทักษะที่เขามีนั้น ไม่ใช่เพื่อวาดภาพวิวทิวทัศน์ลงบนผ้าใบ

 

แต่ชื่อเสียงของ Xander ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั้งเมืองอยู่ดี, นามที่น่าสะพรึงว่า 'ผู้ละเลงเลือด'

Xander ลูบเคราของเขา, มุมปากเผยรอยยิ้มยามที่เขานึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ในสมัยวัยรุ่น

ตัวตนที่เขาในปัจจุบันคงเลือกที่จะอยู่ห่างๆ ไว้เป็นดีกว่า…

 

ยิ่งนึกย้อนไปถึงงานลอบสังหารในวันวาน, เขายิ่งปรารถนาที่จะย้อนเวลากลับไป… เพื่อทำให้มัน “วิจิตร” ยิ่งขึ้น ด้วยทักษะและประสบการณ์ที่เขาสั่งสมมา - แต่ไม่ติดพันธะของวัยชรา, บาดแผลทางกาย และผลกระทบของฐานอำนาจในปัจจุบันแล้วล่ะก็…

New Capenna จะได้รู้จักกับคำว่าสยองขวัญที่แท้จริง

แต่ก็อย่างว่าแหละ, กาลเวลาไม่เคยเดินย้อนกลับ… มันลากทั้งสังขารของเขา และ New Capenna ไปข้างหน้าอย่างไม่ปราณี, เมืองที่เขาเคยออกล่าในวัยเยาว์ได้อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา… และถ้าในตอนนี้ Xander เขาเลือกได้, เขาคงเลือกที่จะทุ่มเทเวลาไปกับผ้าใบมากกว่าใบมีด

 

และมันก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ที่เมืองนี้ก้าวสู่ความศิวิไลซ์ได้ขนาดนี้… ทั้งๆ ที่มันเคยเป็นเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

มันเป็นดั่งมรกดกของความแข็งแกร่ง - หรืออาจจะเป็นแค่ควาามยะโสทะนงตนของผู้ที่สร้างเมืองนี้ขึ้นมา

กำแพงเมืองสูงชันที่กั้นระหว่างความหวังและภยันตรายจากปีศาจที่ถูกลืมเลือนยังคงอยู่

แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว ภัยของ New Capenna นั้น ไม่ได้มาจากนอกกำแพง, แต่มันคือความเน่าแฟะที่แอบแผงอยู่ภายใน

สัญญาพันธมิตรลวงๆ ที่ผูกพันธ์ทั้ง 5 ตระกูลผู้ครองเมืองเอาไว้ ไม่ให้เกิดสงครามระหว่างกัน, สัญญาพันธมิตรที่แสนจะเปราะบาง และพร้อมจะถูกทำลายลงได้ทุกเมื่อ

และมันก็เป็นเช่นดั่งความสัมพันธ์อื่นๆ ที่จบลง, บางครั้งมันก็ยากเกินกว่าจะให้มันกลับมาเป็นดั่งเดิม

ท่ามกลางภาวะอันน่าเป็นห่วงนี้ Xander ทำได้เพียงช่วยให้ตระกูลของเขา อยู่ในฝั่งฝ่ายที่ถืออำนาจสูงกว่าเสมอ

 


Lord Xander, the Collector

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดความกังวลในหัวของ Xander, เขาหยิบเอานาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลา, มันบอกว่าผู้มาเยือนนั้นสายกว่าเวลานัดหมายไปเล็กน้อย

“เข้ามา” Xander เอ่ย

“ขออภัยอย่างสูงครับท่าน” Anhelo โค้งคำนับลง ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา, ทำให้เขาเสมือนจะตัวเล็กลง ท่ามกลางโคมระย้า และห้องที่เต็มไปด้วยทรัพย์สินมากมาย 

“เรื่องที่ต้องสะสาง มันใช้เวลามากกว่าที่ข้าได้คำนวนไว้” เสียงของ Anhelo เต็มไปด้วยความกังวล

“เจ้าไม่ได้มาสายหรอก, เจ้าแค่ช่วยให้ข้าได้มีเวลาชื่นชมทิวทัศน์ที่พึ่งได้รับการปรับปรุง” Xander มองไปยังหน้าต่าง

สวนเบื้องล่างกับคนงานที่ยังง่วนอยู่กับมันช่วยให้ภาพที่เห็นไม่น่าเบื่อ, พวกคนงานเคลื่อนย้ายไม้ดอกไปมาราวกับเป็นผึ้งงาน, พื้นที่สีเขียวก็ชวนลืมหายใจ ผสานเข้ากับแม่น้ำ และน้ำตก ที่ถูกขุดทางน้ำมาอย่างสวยงาม รับกับอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

“กระนั้น มั-”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่น่า” Xander พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น, เขาไม่ได้อยากจะฟังข้ออ้าง หรือท่าทางอันกระอักกระอ่วนของ Anhelo

สิ่งที่ Xander อยากได้จากสมุนมือดีคนนี้ก็แค่ความภักดีอย่างไร้เงื่อนไข, ไร้คำครหา, ไร้ความโอนอ่อน

และเมื่อคำสั่งของเขาทำให้ Anhelo ไม่คิดจะยกข้ออ้างอะไรขึ้นมาอีก, Xander ก็เอ่ยต่อไป

“เอาล่ะ, เจ้ามายืนตรงนี้, ข้าต้องจัดแจงเจ้าให้พร้อมกับภารกิจใหม่”

 

Anhelo เดินไปยังแท่นยืนเตี้ยๆ อันหนึ่ง ก่อนที่ Xander จะตามมา, เขาทิ้งไม้เท้าช่วยเดินเอาไว้ที่ข้างๆ โต๊ะ นั่นคงเพราะอาการบาดเจ็บที่เขาเคยมีไม่ได้รบกวนการใช้ชีวิตของเขามากแล้ว

ซึ่งก็นับเป็นโชคดีในตอนนี้ เพราะเขาต้องใช้แขนทั้งสองข้างเพื่อวัดขนาดตัวของ Anhelo

“ว่าแต่ ที่ Mezzio เป็นอย่างไรบ้าง?” สายวัดที่รูดผ่านนิ้วมือของ Xander, แม้ว่าเวลาจะพาเขาผ่านอะไรมามากมาย แต่มันยังคงว่องไวเหมือนที่เคย, มองเพียงปราดเดียว เขาก็รู้ว่าสายวัดนั่นบ่งบอกตัวเลขอะไรกลับมา

“ท่านทราบได้อย่างไร ว่าข้าไปที่ Mezzio มา?” น้ำเสียงของ Anhelo นั้น ระคนไปด้วยความประทับใจมากกว่าความสับสน

“มีอะไรที่ข้าไม่รู้บ้างล่ะ?”

ที่จริงแล้ว มันเป็นกลิ่นของน้ำมันที่ใช้ขัดรองเท้า รวมเข้ากับกลิ่นของตลาดคนเดิน, กลิ่นของธูปหอมจากหมอดู, กลิ่นเหงื่อจากร้านเต้นรำ พวกนี้กลายมาเป็นดั่งน้ำหอมที่บ่งบอกความเป็นเขต Mezzio เหนื่อกว่าสิ่งใดๆ

มันจะติดไปกับใครก็ตามที่เคยไปเยี่ยมเยียนเมืองแห่งนี้, ราวกับว่าเป็นการเพรียกหาให้พวกใครก็ตามที่ได้กลิ่นนี้ต้องตามกลับมายัง Mezzio… สู่เสียงกระซิบแห่งย่านเสื่อมโทรม และอันตรายที่หอมหวาน

Anhelo เผยอยิ้มมุมปากออกมา รอยยิ้มพิมพ์ใจที่เผยให้เห็นคมเขี้ยวของ Vampire ที่ซ่อนอยู่ “ท่านถึงได้เหมาะที่จะคุมเมืองนี้ไงล่ะครับ”

Xander หัวเราะเบาๆ ในขณะที่เขาวางสายวัดในมือลง และความหาชุดเกราะใหล่จากตู้สะสมของเขา

เสื้อผ้าของ Anhelo ดูขาดๆ เกินๆ มาเป็นสัปดาห์แล้ว, และเพียงแค่ส่วนเสริมตรงไหล่ก็ไม่น่าเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหานี้… ที่สำคัญ Anhelo ต้องการอะไรที่จะช่วยให้เขาดูเนียนไปกับพวกสามัญชนชั้นแรงงานมากกว่านี้

 


Forest

 

ในทุกๆ ระดับชั้นของ New Capenna นั้นต่างมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง… จะพูดเช่นนั้นก็พอได้

ชนชั้นล่างที่อยู่ในเขต Caldaia, พร้อมกับแฟชั่นที่ออกแนวน่าสะพรึงของ Ziatora กับพวกตระกูล Riveteers ของเธอ

หรือจะเป็นชนชั้นกลางในเขต Mezzio ที่มียอดอาชญากรรมสูงลิบ แต่ก็มาพร้อมกับโอกาสที่ตระกูล Cabaretti จะหยิบยื่นให้

สำหรับ Xander เอง เสน่ห์ที่เขาตามหาก็คงหนีไม่พ้นที่พิพิธพัณฑ์ ณ เมือง Park Heights ที่เขาอยู่ในตอนนี้, นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาแทบจะไม่ออกไปจากที่นี่ และก็เป็นเหตุผลที่ Anhelo จะต้องมาเข้าพบเขาเพียงอย่างเดียว

 

“ถ้าข้าได้คุมเมืองนี้ล่ะก็…” Xander พึมพัมออกมา ในขณะที่เอาเกราะไหล่ชิ้นที่เหมาะเจาะสวมเข้ากับล็อกโลหะของเสื้อปกสูง

มันเบียดบังคางของ Anhelo มากเกินกว่าที่เขาจะชอบ, แต่สำหรับเสื้อที่เขาสวมอยู่นั้น, ในสายตาของ Xander มันก็เปิดอกกว้างเกินไป

และถ้าเราจะพูดถึงเรื่องแฟชั่นแล้วล่ะก็ ไม่มีใครที่มาพร้อมกับสายตาที่อ่านขาดได้เหมือนกับ Xander

“บางอย่างกำลังทำให้ท่านเป็นกังวล” Anhelo ยังมองตรงไป เพราะ Xander ยังต้องขยับให้เพราะไหล่นั้นเข้าที่เข้าทาง

“บางอย่าง หลายๆ อย่าง”

“ข้าพอจะรู้มันได้หรือไม่?” ดวงตาสีซีดของ Anhelo หันมามองหน้าของ Xander ด้วยความหวัง แต่ไม่ได้เรียกร้อง

“จะเริ่มตรงไหนดีล่ะ?” Xander เดินกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง, เกราะไหล่เมื่อครู่เข้าที่ทางของมันแล้ว ตอนนี้เขามองหามีดสั้น, แหวนฝังยาพิษ… แหวนที่ยังใช้เป็นสนับทองเหลืองได้อีกหน้าที่

และอีกสิ่งที่ Xander ชอบมากเป็นพิเศษ, ปลอกแขนที่ช่วยลดเสียง รวมถึงแสงของเวทย์มนต์ราวกับมันไม่มีอยู่จริง… อุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักฆ่า

“คงเป็นพวกนี้แหละนะ” Xander หยิบเอาปลอกข้อมือออกมา “อำนาจในเมืองนี้กำลังเปลี่ยนไป”

“ข้าได้ยินข่าวลือ-เรื่องของผู้มีนามว่า ปัจฉามิตร (Adversary)

“ข้าไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนั้น ตราบใดที่ข้ายังเป็นคนควบคุม Halo ในตลาด, เจ้า Adversary นั่น ก็เป็นแค่คนโง่ๆ ที่หลอนยา, ไม่ใช้ปัญหาของข้าหรอก”

Halo - สารลึกลับที่เต็มไปด้วยพลังจากเวทย์มนต์, มันเต็มไปด้วยสสารที่เติมเต็มกำลังวังชา และกระตุ้นชีวิตชีวาของเมือง New Capenna มานานนับปี

ด้วยความที่เป็นสารที่หายาก, ใครต่อใครก็พร้อมจะสละทุกสิ่ง เพื่อต่างไขว่คว้ามันมาครอง… มันไม่มีสิ่งไหนที่ทรงพลังเกินกว่า Halo, และถ้าคิดถึงวันที่มันหมดลงไป, โลกของ New Capenna คงเข้าสู้กลียุคเป็นแน่

 

 

Adversary เริ่มได้อำนาจในบางพื้นที่แล้วนะครับท่าน, มันไม่ใช่แค่คนหลอนยา”

Xander รู้อยู่แล้ว ว่า Adversary นั้นได้ยึดหัวหาดไประดับไหนแล้ว… เขาได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอำนาจผ่านเส้นสายของคนในตระกูล Maestro เอง… ด้วยข้อแลกเปลี่ยนกับ Halo ที่จะส่งให้อย่างไม่ขาดสาย

มันไม่ใช่เรื่องลำบากใจสำหรับ Xander เลย ที่จะกำจัดพวกปลิงใต้บังคับบัญชาเขา… แต่เรื่องที่เขาเป็นกังวลมากกว่าคือ การได้มาซึ่ง Halo ของ Adversary

“ก็… คงจะแบบนั้น” Xander ตอบ และเอาปลอกข้อมือซับเวทย์มนต์สวมให้กับ Anhelo

“แต่ Adversary คงไม่ได้อำนาจมากกว่านี้แล้ว ถ้ามันไม่สามารถเข้าถึง Halo ได้”

“ท่านคิดว่ามันร่วมมือกับตระกูล Cabaretti หรือเปล่าครับ? เห็นว่าพวกนั้นเริ่มเพิ่มปริมาณของในคลังสินค้าแล้วด้วย” Anhelo พูดพลางขยับมือของเขาไปมา เป็นการทดสอบพลังของปลอกข้อมือ

“พวก Cabaretti ต้องตุนสินค้ามากขึ้นเพื่อเตรียมรับเทศกาล Crescendo อยู่แล้วล่ะ, และถ้า Adversary ร่วมมือกับพวก Cabaretti แล้วล่ะก็… Halo ที่มันมีก็คงหมดไปนานแล้วล่ะ” Anhelo ฟังและเริ่มพิจารณาความเป็นไปได้ ส่วน Xander ก็พูดต่อไป

“ที่ข้าเป็นกังวลเกี่ยวกับพวก Cabaretti ก็คือ ‘แหล่ง Halo ใหม่’ ที่พวกนั้นบอกว่าจะเปิดเผยที่มาในงาน Crescendo นี่แหละ… และนั่นก็คือภารกิจใหม่ของเจ้า - พยายามเก็บข้อมูลของมันมาให้มากที่สุด ด้วยวิธีอะไรก็ตามที่เจ้าเห็นสมควร”

“งานสืบงั้นเหรอ? มันน่าจะเป็นงานของพวกตระกูล Obscura ไม่ใช่หรือครับท่าน?”

ตระกูล Obscura ที่เชี่ยวชาญด้านเวทย์ลวงตา, เบี่ยงเบนความสนใจ และการล่อลวง

ถือเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่เหมาะสมสำหรับงานสืบสวนที่ต้องการหลักฐาน, สำหรับ Xander แล้ว ปกติเขาไม่มีปัญหากับการเปิดให้ตระกูล Obscura เข้ามาทำงานที่ฝ่าย Maestro หาผู้ชำนาญการในสายงานนี้ได้ยากยิ่ง

“ข้าเลือกให้เป็นเรื่องภายในตระกูลดีกว่า ถ้าเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับ Halo… ข้าขอมอบหมายงานนี้ให้กับคนที่ข้าไว้ใจที่สุด และมันก็ต้องเป็นเจ้า”

รอยยิ้มของ Anhelo หายไป เขารู้สึกได้ว่า Xander ไม่ได้บอกความจริงกับเขาทั้งหมด

Anhelo เป็นทั้งลูกสมุนมือดี และเป็นมือขวาของ Xander… เขาไม่ได้ยศฐานี้มาเพียงการยกยอปอปั้น

“ข้ารู้สึกว่าท่านยังมีเรื่องที่ต้องบอกกับข้าอีก”

“ไม่ใช่ว่ามันเป็นแบบนี้ทุกครั้งหรอกเหรอ?” Xander หันหลังกลับไปที่โต๊ะ, เขาเดินออกมาราวกับจะเดินหนีบทสนทนานี้ไป

แน่นอนว่าเขาไว้ใจ Anhelo, แต่สำหรับข้อมูลที่เขามี มันก็เหมือนกับ Halo นั่นแหละ

 

เพียงลิ้มลอง มันจะกระตุ้นให้ผู้ลิ้มรสได้พลังอันเอ่อล้น

แต่ถ้าใด้มันมากเกินไป เขาจะไร้ซึ่งความยั้งคิด

 

“เอาล่ะ นี่จะช่วยปิดงานนี้ได้” Xander ยื่นแหวนวงหนึ่งให้กับ Anhelo

“มันทำอะไรได้เหรอครับท่าน?”

“ช่วยให้ดู ‘โคตรแฟชั่น’ ไงล่ะ”

ทั้งคู่หัวเราะออกมา ก่อนที่ Xander จะพูดด้วยนำเสียงจริงจัง

“เราต้องรู้ล่วงหน้าเสมอ, อำนาจใน New Capenna กำลังเปลี่ยนไป และถ้าเราไม่ระวังไว้, อำนาจที่เรามีคงได้หลุดลอยไปจากใต้เท้าของเราแน่… ตระกูล Maestro ครองอำนาจมานานเกินกว่าจะปล่อยให้มันหลุดมือ”

“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”

“ข้ารู้อยู่แล้ว” Xander เดินออกมา ปล่อยให้ Anhelo เดินลงจากแท่นแต่งตัว

แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ชุดที่เขาสวมใส่อยู่ จะเป็นสไตล์ที่ Xander ไม่ปล่อยให้ใครใส่ไปเดินโทงๆ, แต่มันก็เป็นสไตล์ที่เมือง Mezzio จะยอมรับเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมือง - เน้นการใช้งานจริง แต่ก็ยังไม่ทิ้งความงามไป

“ข้าได้ยินมาว่า ตระกูล Cabaretti กำลังไล่ล่า Halo อย่างเหิมเกริมในเมือง Mezzio, จงกลับมาเมื่อเจ้ามีข้อมูลเพิ่มเติม”

 

Anhelo ออกเดินทางไปแล้ว, Xander ไม่ได้กลับไปชมทิวทัศน์ที่หน้าต่างห้องทำงานเช่นเคย, เขากลับเดินไปยังมุมของห้องทำงาน ไปยังประตูห้องที่ล็อกอยู่หลังผ้าม่าน… มันมีเพียงกุญแจแค่ดอกเดียวที่จะไขมันได้ กุญแจที่ซ่อนเอาไว้กับตัวของเขาเอง

ห้องเก็บของเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยวัตถุโบราณทรงงานศิลป์มากมายอยู่หลังประตูนั่น

รูปปั้นศิลานางฟ้าที่ถูกวางไว้หลังแท่นสวดขอพร ราวกับเธอจะคอยปกป้องคัมภีร์อยู่ตรงนั้น… คัมภีร์ที่ Xander คร่าชีวิตมานับไม่ท้วน เพื่อรวบรวม และรักษามัน

 

มันคือประวัติศาสตร์หน้าสุดท้ายของการก่อตั้ง New Capenna, มันคือช่วงเวลาที่ Xander ควรจะจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ แต่กลับลืมเลือนไปเพราะข้อตกลงที่เขาเลือกทำ

Xander สวมถุงมือผ้าฝ้าย ก่อนที่จะจรดนิ้วลงไปที่ตัวอักษรแรกของคัมภีร์เล่มนั้น, เขาเคยอ่านข้อความของมันมานับครั้งไม่ท้วน แต่เขาก็ยังจะอ่านมันต่อไป… ด้วยความหวังว่าเขาจะพบเจอกุญแจสำหรับไขปริศนาแห่งอนาคต


 

- ณ สำนักงานใหญ่ ห้องทำงานของพ่อปู่ Cabaretti -

 

เสียงดนตรีที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาดังส่งลอดผ่านประตูโค้งของอาคาร Vantoleone

เสียงโทนอุ่นๆ ของเครื่องเป่าทองเหลือง ประสานเข้ากับระแนงดอกไม้ประดับที่ทำหน้าที่เป็นดั่งโคมระย้า

เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของ Jinnie เดินอย่างเป็นจังหวะรับกับดนตรี ราวกับเธอเต้นระบำอยู่ในห้องเต้นรำเบื้องล่าง แต่ที่จริงแล้ว เท้าของเธอเต้นอยู่บนพรมของห้องทำงานพ่อปู่ Jetmir

“ลงไปเต้นกับพวกเขาสิ” พ่อปู่ Jetmir หัวเราะร่วน ในขณะที่แอนกายลงบนเก้าอี้ของเขา “เรื่องที่ต้องคุยกันเอาไว้ก่อนก็ได้, ข้างล่างนั้นกำลังสังสรรค์กันอยู่เลย”

“งานปาร์ตี้ก็มีทุกวันนั่นแหละค่า” Jinnie ส่งยิ้มกลับมา, ส่วนเจ้าแมวน้อยที่อยู่บนตักของเธอก็นอนให้เธอลูบไล้มัน

“แต่งาน Crescendo มีได้แค่ครั้งเดียว หนูไม่อยากให้อะไรต้องผิดพลาด”

“ปีหน้าก็มีอีกนั่นแหละน่า” พ่อปู่โต้อย่างกวนๆ “ถ้าดาวนี้มันไม่เกิดเหตุอะไรให้วินาศไปเสียก่อน ใกล้ๆ นี่ ก็ได้ฉลองปีใหม่กันอีก”

Jinnie ต้องฝืนตาไม่ให้เผลอมองบน, พ่อปู่ Jetmir รู้ดีว่าจะแกล้งแขวะลูกสาวของเขาได้ถึงตรงไหน, แต่นั่นก็คงเป็นความสามารถที่พ่อทุกๆ คนคงจะมี… แม้แต่กับลูกบุญธรรมก็ตาม

“พ่อก็รู้ ว่าหนูหมายถึงอะไร” Jinnie ตอบจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับพ่อปู่ Jetmir

มุมที่เธอเห็นหลังคากระจกของ Vantaleone และภาพสะท้อนของผู้คนภายใน

มันเป็นคืนแห่งการเฉลิมฉลองอีกคืนหนึ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานของตระกูล Cabaretti, กระนั้น Jinnie เองก็อยากให้งาน Crescendo ที่จะมาถึงนั้นผ่านไปได้อย่างฉลุย… ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากที่สุด

“หนูได้รับจดหมายตอบกลับจากทุกตระกูลแล้วนะ… ยกเว้นของตระกูล Maestro

“กับเจ้า Adversary

Jinnie โบกมือไปมา ทำเอาเจ้าแมว Muri ที่ตักเธอหันมามองแบบค้อนๆ, ก่อนที่เธอจะลูบหัวเจ้าเหมียวอีกครั้ง

“หนูไม่ได้เชิญ Adversary, เขาไม่ควรได้รับเกียรติที่เขาไม่มี”

“บางครั้ง เราก็ต้องยอมให้ความไว้ใจใครซักคน ก่อนเวลาอันควรน่ะนะ, เราไม่รู้หรอกว่าเพื่อนตัวเล็กๆ ในวันนี้ อาจจะกลายเป็นพันธมิตรใหญ่ในวันหน้า”

“พ่อคิดว่าเขาจะตั้งตระกูลใหม่งั้นเหรอ?” เธอถามด้วยความสงสัย

“พ่อคิดว่า อะไรๆ ก็เป็นไปได้ใน New Capenna เสียงของ Jetmir ดังกังวาลราวกับจะเรียกความสนใจจาก Jinnie

Jinnie รู้จักกับ Jetmir พ่อบุญธรรมของเธอมานาน

นานก่อนที่เขาจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าตระกูล Cabaretti สุดมั่งคั่งอย่างเช่นปัจจุบัน

และนานพอที่จะรู้ว่าเรื่องอะไรถึงทำให้เขาจริงจังขึ้นมา

 


Jetmir, Nexus of Revels

 

Adversary กำลังรวบรวมฐานอำนาจ, เขาดึงคนเข้าหาด้วยคำสัญญาที่จะมอบความมั่งคั่งและ Halo

“ใครก็ตามที่มันทรยศต่อตระกูลของตัวเอง เพียงเพราะจะได้ Halo, มันก็แค่พวกเหลือบไรที่ไม่ควรค่าจะเข้าร่วมตระกูลไหนๆ ทั้งนั้นแหละ” Jinnie สวนด้วยน้ำสียงที่ไรความปราณี

สำหรับเธอแล้ว คนทรยศมันมีหน้าที่แค่เปลี่ยนตัวเองให้เป็นเสื้อหนังสัตว์ และใช้มันเพื่อข่มขู่คนสับปลับกลับกลอกที่เหลือเท่านั้น

“พ่อก็ไม่เถียงหรอกนะ”

“และทันทีที่เราเปิดตัวแท่นบูชา (The Font), เมือง New Capenna จะเปลี่ยนไป พวกเรา Cabaretti จะก้าวขึ้นสู่อำนาจ” เพียงแค่พูดประโยคนี้ออกมาก็ทำให้ Jinnie ขนลุกไปทั้งตัว…

ดาวดวงนี้กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และในฐานะที่เธอเติบโตมาท่ามกลางความโหดร้ายของมัน… นี่คงเป็นโอกาสที่ทุกๆ อย่างจะกลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

 

“แล้วแท่นบูชาเป็นยังไงบ้างล่ะ?” Jetmir เคาะเล็บของเขาเป็นจังหวะ, แสงสะท้อนจากหัวแหวนประดับพลอยของเขา… แหวนวงที่ Jinnie จุมพิตมันบ่อยๆ

“ยังคงเก็บไว้อย่างปลอดภัย ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงค่ะ” Jinnie ตอบได้อย่างสบายใจ “ทุกๆ อย่างเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้, ไม่มีใครรู้เรื่องแท่นบูชานอกจากสภาสูงของตระกูล Cabaretti

“ถ้างั้นงาน Crescendo ก็จะกลายเป็นงานเฉลิมฉลองแห่งยุคสมัยเลยล่ะสิ” Jetmir หัวเราะส่งเสียงคำรามจากคอ, ปกติแล้วเขาก็เป็นคนที่อารมณ์ดี…

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกของคนระดับพ่อปู่แห่งตระกูล Cabaretti, เขาต้องการให้รอบๆ ตัวของเขามีแต่งานรื่นเริง, เต็มเปี่ยมไปด้วยทั้งเหล้า ยา ปลาปิ้ง, หรือจะเต้นให้สนุกสุดเหวี่ยง…

มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน ที่ Jinnie จะให้สัตย์สาบาน และเป็นบุตรีบุญธรรมของเขา

“คงจะเป็นแบบที่พ่อว่าไปนั่นแหละ”

“งั้นตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่ลูกจะกลับเข้างานปาร์ตี้แล้วสินะ, เรื่องรายละเอียดไว้เราค่อยมาว่ากันไป, เจ้าน่ะ น่ารักเกินกว่าจะมาหมกอยู่ในห้องทำงานตลอดทั้งคืน”

“พ่อก็น่ารักเหมือนกันนั่นแหละ” Jinnie ก้มลงหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา, มันมีสัญลักษณ์แบบเดียวกับแหวนของ Jetmir แต่กระเป๋าของเธอนั้นถูกตีกรอบด้วยเขาโง้งสีทองขนาบข้าง

เจ้าเหมียว Muri กระโดดลงจากตักของเธอไปในกระเป๋าใบนั้น, หมาน้อยอีกตัว ที่มีชื่อว่า Regis ดุนจมูกของมันออกมามองหน้า Jinnie

เธอลุกขึ้น แล้วเดินไปผ่านโต๊ะกลมที่อยู่กลางห้อง เข้าไปหาพ่อปู่ Jetmir, เอาผ้าพันคอพาดไว้กับพ่อปู่ ก่อนที่จะก้มลงไปหอมแก้มเขา

“พ่อหมดวัยน่ารักแล้วล่ะ พ่อแค่แก่”

“ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นหรอกน่า” Jinnie ตบไหล่ของพ่อปู่เบาๆ

“ทุกคนก็รู้ ว่าทุกงานต้องมีพ่อ, ไม่งั้นคนคงไม่อยากเข้ามาเป็นครอบครัว Cabaretti หรอกนะ”

“คนมันอยากเข้ามาก็เพราะรู้ว่าพ่อเป็นคนจ่ายไงเล่า” Jetmir แสยะยิ้ม, Jinnie ก็รู้ดีว่านั้นเป็นมุกของพ่อ

 

ตระกูล Cabaretti นั่นคือชีวิตชีวาของเมือง

พวกเขาคือความสนุก, คือจังหวะ, คือดนตรี และสีสัน

และในที่สุด พวกเขาจะเป็นผู้มอบแท่นบูชาให้กับ New Capenna และ Halo ในปริมาณที่ทุกๆ คนทำได้แค่ฝันถึง

 

“นั่นไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อยน่า” Jinnie กลับไปนั่งที่ของเธอ สะบัดผ้าคลุมไหล่ที่เส้นด้ายด้นโลหะของมันสะท้อนกับแสงไฟในยามราตรีให้เข้าที่ มันช่วยเสริมให้เหมือนกับเธอกำลังห่อด้วยไยแมงมุมที่สรรสร้างจากเพชร

“แต่พ่อก็พูดถูกอยู่อย่างแหละ, หนูว่าหนูต้องกลับเข้างานแล้ว, ป่านนี้ Kitt กับ Giada คงรอแกร่วแล้ว”

“ดูแลพวกเขาแทนพ่อด้วยนะ” Jetmir ลุกขึ้นมา จัดผ้าพันคอให้เข้าที่ ก่อนที่จะคว้าเอาคฑาของเขา, คฑาที่ยอดเป็นหน้ากากของมนุษย์สิงห์, สัญญลักษณ์แห่งตระกูล Cabaretti

“อยู่แล้วล่ะ” Jinnie ส่งยิ้มกลับมา ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

 

ห้องทำงานของ Jetmir นั้น อยู่ชั้นสองติดๆ กับห้องโถงกลางของอาคาร Vantolrone เลย

ผ้าม่านสีเขียวไข่ครุฑที่ถักทอด้วยลวดลายดอกไม้สีทอง กลีบดอกบอกใบ้ถึงแพนหางของนกยูงคอยช่วยซับเสียงจากห้องสังสรรค์ชั้นล่าง และทันทีที่ Jinnie แหวกม่าน เสียงดนตรีอึกทึกจากชั้นล่างก็ดังกลับเข้ามา

 

 

หญิงสาวสองคนยังนั่งอยู่บนโซฟาที่ Jinnie ลุกออกไปเมื่อครู่, ใบหูของ Kitt หันมาทาง Jinnie ก่อนที่เธอจะเดินไปถึง, Kitt จำได้แม้แต่เสียงฝีเท้าของเธอ

“การเตรียมงาน Crescendo เป็นไงบ้าง?” Kitt ถามด้วยท่วงทำนองที่สอดคล้องไปกับเสียงเพลง

“สบายๆ”

“แล้วฉันจะได้ร้องเพลงโชว์ป่ะ?” Kitt แสยะยิ้มออกมา

“พรืด!” Jinnie เผลอหลุดขำออกมา “ไม่น่าต้องถามนะนั่น” เธอตอบ ก่อนที่จะหันไปหาหญิงสาวอีกคนที่นั่งข้างๆ

“แล้วเธอล่ะ, Giada ตื่นเต้นกับงาน Crescendo มั้ย?”

หญิงคนนั้นหันกลับมาส่งยิ้มที่ไม่ทำให้ตาของเธอเปลี่ยนรูป, รอยยิ้มที่ฝืนเสียจนดูเป็นความทรมาณมากกว่าความสุขของเธอทำให้ Jinnie รู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย

แม้ว่า Giada ไม่เคยเรียกร้องอะไร, แต่พ่อปู่ Jetmir ก็มอบทั้งที่อยู่, อาหาร, ของหรูหรามากมาย, อากาศรอบตัวของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมที่ดีที่สุด, เล็บของเธอก็ถูกปรนนิบัตรอย่างดี

Jinnie เองก็ช่วยดูแลผมสีดำขลับของ Giada ที่ตอนนี้มีปิ่นปักผมที่ทำมาจากขนนกหายากปักมัดรวบอยู่

Giada มีทุกอยากที่เธออยากได้… เว้นแต่การออกไปจากที่นี่

“อืม” Giada ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความจริงใจ

Jinnie เอื้อมไปจับมือของ Giada “ดีแล้วล่ะ… อีกไม่นาน เราจะเปลี่ยนโลกนี้กัน”

 

- ณ ใจกลางเมือง Caldaia -

 

Vivien Reid กำลังออกล่า… ไม่ใช่ล่าเหยื่อ, แต่ตามหาบางอย่างที่ไม่น่าจะมีอยู่จริง…

บางอย่างที่จะช่วยให้สมดุลของวิญญาณแห่ง Skalla ที่ตามหลอกหลอนเธอทุกย่างก้าว ได้หลับไหลไปอย่างสงบเสียที

เธอออกตามหาสถานที่ หรือผู้คน - สักที่หนึ่งที่เป็นจุดสมดุลระหว่างงานสร้างสรรค์ของมนุษย์กับธรรมชาติ

แต่เพียงไม่นาน เธอก็รู้ได้แล้วว่า New Capenna ไม่ใช่เมืองที่เธอตามหา

เมืองที่ทอดยาวปรากฏตรงหน้า คือเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง และงานระดับมหานครที่มองข้ามธรรมชาติไปจนสิ้น

สิ่งที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดกลับกลายเป็นลวดลายเหล็กดัดสังเคราะห์ที่เพียงล้อเลียนภาพของธรรมชาติ, เหล็กที่ชุบจนมันวาว ถูกตีขึ้นล้อเลียนน้ำตก, หน้าต่างที่แทนรำแพนพัด

ถ้าจะมีอะไรที่เป็นธรรมชาติจริงๆ อย่างสวนไม้ มันก็ถูกตีกรอบให้ขึ้นในกระถางปูน และมีไว้เพื่อประดับอาคารเป็นเส้นสาย ที่ไม่ต่างจากเครื่งแต่งกายของผู้คนในเมือง

ธรรมชาติ อาจจะมีอยู่ที่นี่… แต่มันก็เป็นธรรมชาติที่ผ่านการปรุงแต่งเสียจนดาวดวงนี้ไร้ซึ่งสมดุลย์

Vivien มั่นใจไว้ในไม่นาน ดาวดวงนี้คงได้ล่มสลายไปจากสมดุลปลอมๆ ที่ผู้คนคาดหวัง… มันเป็นเช่นนี้เสมอ เมื่อดาวดวงใดโน้มไปยังฟากฝั่งเดียว

 

Vivien เข้าสู่ใจกลางเมืองด้วยรถไฟหนึ่งในหลายๆ ขบวนที่วิ่งกันวุ่นวาย, เธอผละจากสถานีระบบรางที่ประดับประดาด้วยโลหะสูงล้อเมฆ และรูปสลักนางฟ้าที่เหม่อมองลงมายังพื้นโลกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

เธอเลือกที่จะออกเดินทางลึกลงไป… ไปยังที่ๆ ใกล้กับพื้นโลกมากกว่านี้… ที่ๆ ความเป็นธรรมชาติยังคงหลงเหลืออยู่ใต้หมอกควัน และความหม่นหมองเบื้องบน

เพราะเธอยังเชื่อว่า แม้ธรรมชาติจะถูกลืมเลือนไป แต่มันยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน

 

ถนนพื้นหินตัดผ่านตึกสูงที่สร้างจากโลหะอย่างเป็นจังหวะ เหล่าผู้คนในเมืองดูไร้ปัญหากับการเดินเท้าหลบหลีกเสาคานที่ตั้งอยู่รอบๆ ในขณะที่ Vivien เลือกที่จะเดินไปบนคานเหล็กพวกนั้น 

นอกจากนี้การเดินข้ามถนนเสมือนกับก้าวย่างที่ต้องวัดใจ เพราะพลาดไปคงหมายถึงชีวิต

รวมถึงเมืองด้านบนด้วยก็เช่นกัน, มันตั้งอยู่บนคานเหล็กมากมาย แต่ไร้ความแข็งแรงจากเมืองเบื้องล่างแห่งนี้… ราวกับตั้งอยู่บนปลายยอดพีระมิด และพร้อมจะถล่มลงมาตลอด

Vivien เดินทางไปดาวอื่นๆ มากมาย, แต่นี่คงเป็นสิ่งปลูกสร้างที่แสนพิศวงเพียงที่เดียว ที่มันขับไสโลกของพลังธรรมชาติไปแทบสิ้น



Vivien Reid

 

เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูบานเขื่องจากอาคารใกล้ๆ ดังขึ้น มันทำเอา Vivien ลืมเป้าหมายของเธอไปเสียสิ้น - เสียงเหล็กกระทบทั่ง และเปลวไฟที่โหมขึ้นมา ทำเอา Vivien ต้องโดดข้ามคานเข้าใกล้อาคารนั้น

แสงจากห้องนั้น ส่งผ่านควันและประกายไฟออกมา Vivien ค่อยๆ ลอบเข้าไปอย่างระมัดระวัง, ย่างก้าวที่ต่อเนื่องของ Vivien ทำให้การย่องเข้าไปนั้นเป็นไปอย่างเงียบเชียบ จนผู้คนในอาคารนั้นไม่ทันได้สนใจเธอ

“- เราจะไม่รับคำสั่งจากพวกคนที่นั่งโต๊ะในตึกที่พวกเราสร้าง, พวกคนที่เอา Halo ไปจากร้านของพวกเรา” 

เสียงของผู้คนมากมายกู้ร้องอย่างกึกก้องตอบกลับต้นเสียง, ดูจากเครื่องแต่งกายแล้ว ส่วนใหญ่พวกเขาก็คงจะเป็นคนงานชนชั้นล่าง

เจ้าของเสียงที่มีร่างเป็นมังกรได้เอ่ยประโยคต่อไปด้วยเสียงอันดังกังวาล เธอคงเป็นนักพูดปลุกใจมือฉมังเพราะผู้คนทั้งหลายต่างจดจ่อกับสิ่งที่เธอจะพูดต่อ

“พวกตระกูล Cabaretti แถมจะปล้นพวกเราเอาไปฉลองในเทศกาล Crescendo ของมัน, แต่ไม่เจียดกำไรมาให้เราซักแดงเดียว

พวกตระกูล Broker ก็มาโชว์เก่งโชว์เก๋าที่บ้านของเรา

และข้าเองก็ไม่สงสัยเลยว่า ไอ้พวกตระกูล Obscura มันก็แฝงตัวอยู่กับพวกเราไปเรียบร้อยแล้วล่ะ…

ไอ้พวกหมาหิวเงินที่พร้อมจะขายข้อมูลให้กับใครก็ตามที่จ่ายให้มันสูงที่สุด”

เสียงของผู้คนมากมายร้องตอบอีกครั้ง, บ้างก็ตะโกนความอึดอัดภายในใจออกมา, ควันม้วนออกจากรูจมูกของมังกรตนนั้น ก่อนที่เธอจะพูดต่อ

“พวกมันจะได้จำไว้ ว่าอย่ามาแหยมกับคนที่สร้างบ้านให้พวกมัน… เพราะน็อตเพียงไม่ตัว ตึกที่ถล่มมันก็ดูไม่ต่างจาก ‘อุบัติเหตุ’ เท่าไหร่หรอก”

“เจ้าไม่ใช่คนแถวนี้” เสียงจากชายที่แต่งกายด้วยเสื้อโค้ท, ถุงมือ, รองเท้าทรงสูง และหมวกทรงปีกกว้างเดินเข้ามาขวางระหว่าง Vivien และฝูงชน

“คุณก็เช่นกัน” Vivien ตอบ, เพราะการแต่งกายที่แสนจะแตกต่างจากฝูงชนของเขา

เขาหัวเราะออกมา “ใช่ แต่อย่างน้อย ข้าก็ไม่ได้แต่งตัวด้วยชุดจากดาวอื่น”

Vivien ยืดตัวตรงทันทีที่ได้ยินคำนั้น

ดวงตาที่ส่องแสงลอดออกมาจากหมวกของเขา บรรยากาศรอบๆ ตัวที่ชวนอึดอัด ทำให้เอา Vivien ขนลุกขึ้นมา… ชายคนนี้แตกต่างออกไป… เขามีบางอย่างที่เหมือนกับเธอ

เขาเป็น Planeswalker เหมือนกัน

“ฮะ, เจ้าสังเกตเห็นแล้วงั้นหรือ? ถ้างั้นออกมาคุยกันก่อนที่ฝูงชนพวกนี้หลุดจากฝีปากชวนฝันของ Ziatora เถอะ”

ชายคนนั้น เดินสวนออกไปทันทีที่จบประโยคนั้น, เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธอ เขามั่นใจว่า Vivien จะเดินตามมา

เธอมองกลับไปมาระหว่างมังกรนักพูดปลุกใจ และชายปริศนาเมื่อครู่… และสำหรับเธอแล้ว ชายปริศนาผู้เป็น Planeswalker นั้นดึงความสนใจได้มากกว่า

 

“ข้าไม่ได้มองหา Planeswalker คนอื่นๆ ในคืนนี้… แต่ข้าก็เชื่อว่าเจ้าคงจะเป็นอะไรที่ดีกว่าสิ่งที่ข้าตั้งใจจะตามหา” เขายืนพูดอยู่ที่ปลายคานเหล็กอันหนึ่ง, สายตาทอดยาวไปยังกลุ่มของควันที่ลอยขึ้นมา “ว่าแต่ เจ้ามาที่นี่นานหรือยัง?”

“ก็พอสมควร” เสียงของความวุ่นวายเบื้องหลังเบาลง เมื่อ Vivien เดินเข้าไปหาชายคนนนั้น

เขาเริ่มออกเดินอีกครั้ง, ส่วน Vivien ก็เดินตามไป แม้มือของเธอจะเตรียมพร้อมคว้าเอาธนูมายิง… จริงอยู่ที่เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาเรื่องใคร แต่เธอก็ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอเช่นกัน

“นานพอที่จะเจอคนอื่นๆ เหมือนพวกเรามั้ย?”

“คนอื่นๆ งั้นหรือ?”

Planeswalker คนอื่นเนี่ยนะ? ทำไมล่ะ? เธอมาที่นี่ด้วยเหตุผลส่วนตัวของเธอเอง แต่เหมือนเธอกำลังจะก้าวเข้าไปพัวพันกับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เตรียมใจมา

“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับ Halo บ้างล่ะ?”

“รู้มานิดหน่อย” เธอตอบไปตามจริง, เธอรู้แค่เท่าที่ประชากรของ New Capenna จะบอกกับเธอ… สสารสีเหลือบรุ้งที่ผู้คนต่างถวิลหา, แต่เธอก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ศึกษามันเพิ่มเติม

“ดาวดวงนี้คลั่งไคล้ และขับเคลื่อนด้วย Halo, มันเต็มไปด้วยพลังแผงที่ซ่อนอยู่, แต่คนที่ข้าทำงานด้วย เขากำลังหาวิธีการที่จะใช้พลังงานจากมัน แม้ข้าจะรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาเป็นเรื่องอื่น”

“แล้ว มันคืออะไรล่ะ?”

“เจ้าอยากรู้งั้นหรือ?” ชายคนนั้นหันกลับมาแสยะยิ้ม, เสียงของโลหะที่เคลื่อนที่ดังออกมารับกับการเคลื่อนไหวของเขา

“ก็อาจจะ” Vivien ยังไม่แน่ใจว่าเธอควรจะไว้ใจชายคนนี้หรือไม่?, แต่เธอก็ไม่ต้องการความไว้ใจ เพื่อรีดเอาข้อมูลออกมาจากเขาหรอก

“ดีเลย, ถ้างั้น ตามข้ามา, ท่าน Urabrask อยากจะพบเจ้า”

ชายคนนั้นออกเดิน แต่ Vivien นั้นกลับยืนขาตายอยู่กับที่

“แล้ว…คุณชื่ออะไร?”

เขาหยุดเดิน ตอบคำถามนั้นโดยไม่หันกลับมา

Tezzeret, และมีคนกำลังรอข้าอยู่, ถ้าเป็นไปได้ช่วยรีบหน่อยเถอะ”

 


Tezzeret, Betrayer of Flesh

 

Vivien ไม่ได้เร่งรีบตามคำเชิญนั้น… เธอกลับยืนนิ่งไปเสียด้วยซ้ำ

จริงอยู่ ที่เธอไม่เคยพบกับ Tezzeret มาก่อน แต่เธอก็เคยได้ยินชื่อของเขามาแล้ว

เขาเลือกที่จะอยู่ฝ่ายตรงกับกับเหล่า Planeswalker ในศึก War of Spark, และเธอก็สงสัยอยู่ในใจว่าเขาคือคนที่สามารถใช้งาน Planar Bridge ได้…

ถ้า Tezzeret อยู่ที่นี่, มันคงมีอะไรที่ซ่อนอยู่ในความศิวิไลซ์ของเมือง New Capenna มากกว่าที่เธอเห็นแล้วล่ะ

“ตกลงว่า?” Tezzeret หยุดเดิน เมื่อเขาเห็นว่า Vivien ไม่ได้ตามเขามา

“ขอพูดตรงๆ เลยนะ…” Vivien ซ่อนความสงสัย และความเป็นกังวลไว้ใต้หน้ากากของความจริงจัง ก่อนที่จะก้าวยาวๆ เข้าไปขนาบข้างกับ Tezzeret

แม้ว่าทางเดินจะแคบ แต่เธอเลือกที่จะไม่เปิดพื้นที่ให้ Tezzeret อีก

“คุณเลิกสั่งให้ฉันทำนู่น ทำนี่ได้แล้ว”

Tezzeret ส่งเสียงฮัมออกมาด้วยความพอใจ “ฮืม, เข้าใจแล้ว”

“ว่าแต่ ใครคือ Urabrask ล่ะ?” Vivien ถามถึงเพื่อนของเขา ที่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกต้องระวังตัวมากกว่าเดิม

“มันซับซ้อนนิดหน่อยน่ะนะ” สายตาของ Tezzeret เหม่อมองออกไป… ไกลเกินกว่าที่ Vivien จะมองเห็น, แต่สำหรับ Vivien แล้ว เธอรู้ว่ามันหมายถึงอะไร…

มันคือสายตาของคนที่เดินทางด้าวข้ามความลึกลับระหว่างดวงดาว…

สายตาของผู้ที่ประสบพบเจอกับความสยองขวัญ และเลวร้ายเกินจินตนาการ

“เดี๋ยวถ้าเจ้าไปพบกับเขา เจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง… แต่ตอนนี้ สิ่งที่เจ้าต้องรู้มีเพียงแค่ว่า เขาเป็นฝ่ายเดียวกับเรา”

“ฝ่ายไหนล่ะนั่น?”

“ฝ่ายของความ’อิสระ’

 

- ณ อู่รถไฟเมือง Mezzio -

 

เสียงแหวกอากาศที่สั่นพ้องไปกับแรงสะเทือนของการขนส่งระบบรางเหนือหัว ทำเอา Elspeth สะดุ้งตกใจ

อาจจะเพราะเสียงของรางที่ดังเสียงจนเหมือนมันจะหลุดลงมา, หรือตัวรางเองที่ดันแขวนสูงห่างไปไม่กี่เมตรเหนือหัวของเธอ

 

Elspeth กระพริบตา เพื่อปรับให้คุ้นชินกับแสงที่เจิดจ้าของเมือง New Capenna หลังจากพึ่งลงมาจากรถไฟที่แสนจะมืดทึม

เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ กับการแต่งกายที่แสนจะแปลกและแตกต่าง

อาคารสูงเสียดฟ้าเชื่อมต่อกันและกันด้วยระบบราง และทางเดินเท้าที่เหมือนกับเขาวงกตก็มิปาน

พวกมันยังประดับตกแต่งด้วยระเบียงที่ยื่นออกมา และเต็มไปด้วยรายละเอียดอย่างหรูหราเสียจนเป็นการโอ้อวดเกินงาม

หลังคาของอาคารหลังหนึ่ง กลับเป็นเหมือนพื้นของอาคารอีกหลังหนึ่ง ที่มันสูงทอดตัวต่อกันไปเป็นชั้นๆ ทะลุชั้นเมฆไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

 

Elspeth กระชับสัมภาระที่แบกไว้บนไหล่, มันมีเพียงของไม่กี่อย่างที่เธอคิดว่าจำเป็นสำหรับการเดินทางมาที่นี่… แม้ว่าข้างของที่เป็นของเธอจะเหลืออยู่ไม่มาก หลังจากเรื่องราวทั้งชีวิตที่เธอต้องประสบพบเจอ

ภาพของเมือง New Capenna ที่เธอเห็นแม้ว่าออกจะน่าผิดหวัง เพราะมันผิดจากที่เธอคาดคิดไว้อยู่ไม่น้อย… แม้เธอจะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก่อนเลยก็ตาม

มันก็ออกจะเป็นเรื่องแย่อยู่ไม่น้อย ที่จะไปคาดหวังกับเมืองที่ไม่คิดว่าจะมีมีอยู่… สถานที่ ที่เธอเองเลิกคิดถึงไปนานมาแล้ว

“บ้าน” Elspeth พึมพัมออกมา… เธอแค่ลองดูว่า ถ้าพูดมันออกมาแล้ว New Capenna จะดูเหมือนบ้านขึ้นมาบ้างไหม?... แต่ก็ไม่เลย

“Ajani บอกว่าที่นี่คือบ้าน”

Ajani ผู้เป็นเพื่อนของ Elspeth ไม่เคยโกหกเธอ… เขาให้คอยคำปรึกษากับเธอในเวลาที่เธอไม่อยากจะรับฟังด้วยซ้ำ

เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไว้ใจเขา… และถ้าเขาบอกกับเธอว่าที่นี่คือบ้านของเธอ… มันก็ต้องเป็นที่นี่แหละ… ที่ๆ เธอตามหาจากภาพฝันมานานนับปี…

 

แต่ทำไม Elspeth ถึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นบ้านของเธอเลยซักนิด?

 

 

 Magic Story By Elise Kova