ความยุ่งเหยิง

 

มีบางสิ่งพิเศษในอากาศบน Innistrad อาจจะเป็นเพราะเหล่าพฤกษาได้เป็นประจักษ์พยานแห่งความสยองขวัญ

เลือดที่ชโลมบนพื้นดินเป็นอาหารให้แก่รากที่หิวกระหาย ซากกระดูกที่นอนเรียงรายตามริมแม่น้ำ

แต่อากาศของดาวดวงนี้ช่างแตกต่างจากที่อื่น Wrenn และ Six ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบผืนดินของ Innistrad ใจกลางส่วนลึกของป่า Kessig ที่ซึ่งใกล้เคียงกับสถานที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรก.

 

ป่ารอบเมือง Kessig
 

“ที่นี่งั้นรึ?” Wrenn ถามขึ้นมาโดยมิได้ปริปาก แม้ว่าคำถามนั้นจะทำให้เธอเจ็บปวดเพียงใด

มันเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า ตอนที่เธอเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Four ผู้ที่บาดเจ็บร้ายแรงจากการต่อสู้ ก่อนที่เจ้าต้นไม้ผู้กล้าหาญจะขับเธอออกจากตัวเขา ทำให้เธอยังคงมีชีวิตรอดจนมาถึง Innistrad นี้ มันเป็นที่ซึ่งเธอไม่คุ้นเคย แต่เธอได้รับฟังเรื่องเล่ามาก่อน

เรื่องเล่านั้นมาจากปากของเหล่า Planeswalker ว่าเหล่ารุกขชาติเจริญเติบโตอย่างงดงามในป่า Kessig, หลังจากเธอหารือกับ Six เธอก็ได้ถูกโน้มน้าวให้มาที่นี่.

“ไม่ใช่ แต่ใกล้แล้ว” เจ้าต้นไม้ตอบ

Wrenn พยักหน้าและมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึก ไกลจากที่ที่พวกเขาเข้ามา หาสถานที่เพื่อให้ Six ได้พักผ่อน




Wrenn และ Six
 

บางทีครั้งนี้อาจจะเจ็บปวดยิ่งกว่าเพราะ Six ยังสามารถไปต่อได้, ยังอยู่เคียงข้างเธอได้แต่เลือกที่จะไม่ทำ

ส่วนหนึ่งที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีมาโดยตลอดคือ เธอยอมฟังคำพูดของเจ้าต้นไม้ยักษ์ พวกเขาเป็นคู่ชีวิต ไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้อง

เธอเคยเห็นนักเวทย์หลายคนปฏิบัติกับคู่หูตนเองราวกับสัตว์เดรัจฉาน และบังคับพวกเขาเพื่อเติมเต็มความต้องการของตัวเอง

เมล็ดพันธุ์ของ Wrenn ถูกปลูกฝังมาโดยพ่อแม่ที่ดีกว่านั้น และเธอเคารพเหล่าคนที่คอยรับใช้เธอ แม้ว่าสงครามของเธอจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา.

 

พวกเขาเดินต่อไปสักพัก เจ้าต้นไม้ก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หยุด ที่นี่ล่ะ”


 

Wrenn หยุดเดิน พวกเขาฝังรากลึกลงไปในผืนดิน และเธอเริ่มดึงตัวเองออกจากบ้านที่เธอเคยอยู่มาแสนนาน

ยิ่งเธอดึงการรับรู้ของเธอกับเจ้าต้นไม้ก็เริ่มจางลง กระทั่งตัวเธอร่วงหล่นเหมือนฟันที่หลุดจากเบ้า แต่ยังมีส่วนสุดท้ายของร่างกายที่ยังคงติดอยู่

หลังจากใช้แรงกระชากครั้งสุดท้ายท่อนล่างของเธอได้หลุดออกมา เธอดึงรากของตัวเองออกและเธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Six อีกต่อไป

Six ผู้ที่บัดนี้กลายเป็นเพียงต้นไม้ ไม่ใช่ Treefolk เฉกเช่นเวลาที่พวกเขาอยู่ร่วมกัน

ต้นไม้นั้นไม่มีเพศ ต่างจาก Dryad เขาได้ครุ่นคิดอยู่นาน และตัดสินใจว่าเขาอยากเป็นชายมากกว่า แต่บัดนี้เขาได้เติบใหญ่ เป็นต้นโอ๊กแห่ง Innistrad ที่งดงาม กิ่งก้านของเขาแผ่ออกไปถึงท้องนภา

 

Wrenn ถอนหายใจและซบหน้าของเธอลงบนตัวของเขา สูดกลิ่นที่คุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้าย.

“สักวันหนึ่ง” เธอให้คำสัญญา.

“สักวันหนึ่ง นานแสนนานนับจากนี้ เมื่อ Seven จากไปและข้าต้องการ Eight ข้าจะกลับมาที่นี่ ข้าจะย่างก้าวเข้ามายังป่านี้อีกครา และข้าจะตามหาเจ้า เพื่อนยาก และ ลูกไม้ของเจ้าจะเติบใหญ่เป็นต้นไม้หนุ่มที่แข็งแกร่ง และข้าจะให้ข้อเสนอแก่พวกเขา เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยให้แก่เจ้า และถ้ามีหนึ่งในพวกเขาตกลง ข้าจะนับว่าตัวข้านั้นช่างโชคดีเหลือเกิน”

 

พวกเขาไม่สามารถสื่อสารกันในความเงียบได้อีกต่อไป จิตของพวกเขาแยกออกจากกันเป็นครั้งแรก

จิตของ Six จะเลือนหายไปสู่ผืนดิน กลับคืนสู่เหล่าพฤกษาร่วมกับสหายและญาติของเขา คู่ชีวิตของเธอจากไปแล้ว แต่เธอยังกลับเข้าไปในต้นไม้ได้และนั่นอาจเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

เธอจะปล่อยให้เขาไป เพื่อตัวเขาเอง ชีวิตการเป็น Planeswalker นั้นไม่ง่ายแม้แต่กับผู้ที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว

ถึงกระนั้น เธอยังคงนึกถึงความรู้สึกเวลาที่ได้อยู่บนตัวของเขา, เธอยิ้มและดึงตัวเองขึ้น เธอจะคิดถึงเขา

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตที่ต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง อนาคตนั้นรอคอยเธออยู่

ถึงเวลาที่เธอต้องออกค้นหาแล้ว

 

หลังจากที่ส่วนที่ดีที่สุดของวันได้ผ่านไปในป่า Kessig, เสียงเพรียกแห่งเหล่าพฤกษาได้บอกว่ามีต้นไม้ที่ใช้งานได้เติบโตที่นี่

เธอเริ่มที่จะสงสัยเสียแล้วว่าคำสัญญาที่ให้ไว้จะเป็นจริงได้หรือไม่ เท้าของเธอเริ่มปวดและขาของเธอเริ่มล้า, พวกมันเป็นสิ่งที่เธอมีตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยมีเหตุได้ใช้มัน

ตอนนี้พวกมันทั้งเจ็บและทำให้เธอทรมาน แต่เสียงเพรียกยังคงยั่วยวนให้เธอตรงลึกเข้าไปในป่า เร่งเร้าให้เธอตามหาบ้านใหม่ของเธอ

 

พวก Dryad ส่วนใหญ่ในดาวต่างๆจะผูกพันกับต้นไม้เพียงต้นเดียว ต้นไม้พวกนี้เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา

แต่เธอไม่เป็นเช่นนั้น มันเกี่ยวพันธ์กับเวทย์มนต์ เธอต้องการท่วงทำนองที่เหมาะสม บทเพลงตอนเป็นต้นกล้าของ Wrenn เติมเต็มร่างกายของเธอ

เหล่าแมกไม้ที่อยู่ใกล้เธอล้วนได้ยินมัน และพวกเขาจะร้องเพลงตอบกลับมา

Six เคยร้องเพลงให้เธอฟัง ครั้งหนึ่ง, แต่ตอนนี้เขานิ่งเงียบอยู่ข้างหลังเธอตอนที่เธอมุ่งตรงลึกเข้าไปในป่า

ผู้ที่ขับกล่อมบทเพลงนี้อาจจะอยู่แสนไกล หรืออาจอ่อนแรง เพลงของพวกเขาช่างเบาบางและยากจะรับฟัง.

บางทีเธอน่าจะไม่สนใจความต้องการของ Six โดยการกลับบ้านและหยุดท่วงทำนองของพฤกษาก่อนที่เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน

แต่นั่นจะกลายเป็นการกระทำที่โหดร้าย และเธอเข้มแข็งพอที่จะไม่ยอมแพ้ เธอจะเดินหน้าต่อ.

เธอมุ่งมั่นในสิ่งที่เธอตั้งใจ มีชีวิตรอด

Wrenn เดินต่อไปข้างหน้า ลึก และลึกยิ่งขึ้น ในป่า Kessig ตามเสียงเพรียกแห่งรุกขชาติ ที่รอเธออยู่ที่ไหนสักแห่งในผืนป่านี้.

 

 

 

แม่มดขาว

 

Teferi ไม่เคยมาเยือน Innistrad มาก่อน มีเพียงคำบอกเล่าจากผู้เดินทางคนอื่น, ข่าวลือที่เคยผ่านหู จนกระทั่งกาลเวลาและความใคร่รู้ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายที่ควรค่า

พวกชาวบ้านที่นี้ล้วนตื่นกลัว และมีเหตุให้ระแวงคนแปลกหน้า แต่ด้วยความใจกว้างของพวกเขาก็ทำให้คิดได้ว่าเหล่าผู้มาเยือนนั้นไม่ได้มีเจตนาร้าย

พวกเขาบางคนละทิ้งเศษเสี้ยวแห่งความหวัง อาจมีคำพูดหรือความเป็นไปได้ที่ชีวิตพวกเขาจะดีกว่านี้ถ้าไปอาศัยอยู่ที่อื่น

แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาทิ้งบ้านเกิด และยากที่จะเคลื่อนย้ายพวกเขาในสถานการณ์เช่นนี้

Teferi เริ่มมองหาสถานที่ตั้งหลักและคลายความเหนื่อยล้า

 


Teferi, Who Slows the Sunset

 

ความสงบนั้นมีอยู่ไม่นาน เมื่อเหล่า Cathar (ทหารศักดิ์สิทธิ์) จากโบสถ์ใกล้เคียง ได้เข้ามาในโรงเตี๊ยมพร้อมกับรายงานว่ามีคนพบเห็น “แม่มดขาว” ในป่า. ที่ Innistrad

มันไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ประหลาด จะไม่ทำให้เกิดเหตุร้าย, และความมีไมตรีจิตของเขาทำให้เขาตกลงเข้าช่วยเหลือ.

เพราะเช่นนั้น เขาจึงพบว่าตัวเองมาอยู่ที่ชายป่าพร้อมกองกำลังส่วนหนึ่ง

พวกเขาพร้อมด้วยดาบและธนู พวกเขาเริ่มค้นหาสิ่งที่เรียกว่า แม่มดขาว และบางสิ่งที่คาดว่าจะเป็นร่องรอยของเธอ

เขาไม่รู้ว่านี่จะเป็นภัยคุกคามหรือไม่ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้พวก Cathar มายังป่าแห่งนี้เพื่อพิสูจน์มัน

 


Brutal Cathar

 

นักรบ Cathar แยกกันออกไปค้นหาร่องรอยของแม่มดที่ต้นไม้ที่พวกเขาพบที่ซ่อน

Teferi มองดูพวกเขาก่อนที่จะเดินไปที่ต้นไม้นั่น, ไม่มีแม่มดตนใดที่นี่ ที่จะหลบพ้นสายตาเขาได้ และเขาต้องการที่จะเข้าใจป่านี้ให้มากขึ้นเท่าที่เขาจะทำได้

ผืนป่านี้แตกต่างจากดาวดวงอื่น แต่พวกมันก็มีความคล้ายกันอย่างต้นโอ๊กและต้นเอล์มที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป และกลิ่นของใบไม้เหล่านั้นไม่ค่อยแตกต่างอย่างที่เขาคิด

บางทีเขาควรจะปรับเข้าหาเวทย์มนต์แห่งธรรมชาติ, เขาอาจจะเข้าใจเหตุผลนี้มากขึ้น

หรือบางทีมันอาจจะดีถ้าเขาสนทนากับผู้ใช้เวทย์แห่งธรรมชาติคนต่อไปที่เขาจะต่อกรด้วย ถ้าสมมุติว่าพวกเขามีอารมณ์ที่จะคุยล่ะนะ

มันคือสิ่งที่น่าสนใจในการทำงานของดวงดาว ที่ช่างแตกต่างแต่ก็กลมกลืนในเวลาเดียวกัน.

 

“ทางนี้” เสียงเรียกมาจากนักรบคาธาร์นายหนึ่ง สิ้นเสียงเรียกตามด้วยเสียงเหยียบใบไม้เมื่อพวกเขาเริ่มออกเดินไปยังเป้าหมาย ยกเว้นแต่ Teferi 

มีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่หางตาของเขา บางสิ่งที่ไม่ใช่ต้นไม้ บางสิ่งที่นอกเหนือจากพวก Cathar

เขาหันไปรอบๆ จ้องไปที่เงามืด เขาไม่เห็นสิ่งใด หลังจากหยุดสายตาไปยังทางที่ว่างเปล่าแล้ว เขาเริ่มย่างก้าวช้าๆ และสัมผัสทุกสิ่งรอบตัวเขา

อาจเพราะเช่นนั้นเขาจึงได้ยินเสียงของหญิงสาว

เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและเบาบาง เป็นสำเนียงที่เขาไม่คุ้นเคย เขาตัดสินใจตอนที่ได้ยินเสียงนี้ว่าจะยังไม่เรียกพวก Cathar มา เขาหยุดเดินเมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งใต้ต้นโอ๊กยักษ์.

เธอมีผิวขาวซีด ซีดเหมือนกับร่างเธอทำมาจากเปลือกสน เธอเหมือนภูตผีที่มีเงาดำของต้นโอ๊กล้อมรอบเธอ ผมของเธอยาวสลวยแต่ขาวเหมือนกระดูกก็ไม่ปาน

ศรีษะของเธอแทบกลมกลืนกับแมกไม้ ใบหน้างดงามเหมือนนางฟ้า และวาจาของเธอเหมือนเปล่งออกมาจากเหล่าพฤกษา

Teferi เดินเข้าไปหาเธอ ผายมือออก แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ร่ายเวทย์ใด สีผิวของเธอคล้ายกับสิ่งที่พวก Cathar บอก “แม่มดขาว” แต่พอมองดูให้ชัดแล้วเธอเหมือนของขวัญจากวนาลัย

เพราะไม่มีใครจะเข้าใจธรรมชาติได้ดีเหมือน Dryad อีกแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องที่เข้าใจผิดระหว่างมนุษย์และพวกเขาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

เขาก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่ได้มองกิ่งไม้ที่ร่วงอยู่

เขาเหยียบมัน นั่นทำให้เธอหวาดระแวง ตาของเธอเบิกกว้าง หลังของเธอแนบชิดกับต้นไม้ที่เธอหลบซ่อน แต่เธอยังไม่ได้หายเข้าไป

เขาคิดว่าเธอไม่ได้คิดทำร้ายเขา และขยับเข้าไปใกล้ หยุดในระยะห่างที่เหมาะสม และโค้งคำนับให้นาง

 

“ยกโทษให้ข้าด้วยที่มาบุกรุก แต่ท่านดูอาการไม่ค่อยดี” เขาพูด “ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”

 “ถอยไป นักเวทย์” เธอพูด ด้วยเสียงที่แหลมราวกิ่งไม้ที่ทิ่มแทง แต่อ่อนหวานราวหัวใจถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง
“ข้าดูแลตัวเองได้”

“ข้าไม่ต้องการต่อสู้” เขาพูด
“มันค่อนข้างน่าเบื่อนะ แค่พวกคนบนดาวนี้อยากจะฆ่ากันตลอดเวลาก็เกินพอแล้ว งั้นข้าจะถือว่าท่านมาอย่างสันติได้ใช่มั้ย?”

“ข้ากำลังมองหาต้นไม้” เธอตอบ และหรี่ตามองอย่างหวาดระแวง

“นี่ไง มองไม่เห็นหรือ?” Teferi ผายมือไปยังต้นไม้รอบๆ

Dryad หัวเราะออกมา “มันไม่ง่ายแบบนั้น ต้นไม้พวกนี้ไม่แข็งแกร่งพอที่จะแบกรับข้าไว้”

Teferi ขมวดคิ้ว “ขอโทษทีนะ แต่ข้าคิดว่าพวก Dryad เกิดและเติบโตกับต้นไม้ของตนเอง และจะไม่ยอมทิ้งมันเสียอีก”

“พวกเขาเป็นเช่นนั้น” เธอตอบ
“ข้าหมายถึงพวกเราเป็นเช่นนั้น. เคยเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น มันกลืนกินป่าของพวกข้า จนกระทั่งข้าพบวิธีที่นำมันมาไว้ที่ตัวข้า. มันยังคงเผาไหม้อยู่ภายใน มันทำให้ข้าต้องย้ายจากต้นไม้หนึ่งสู่อีกต้นหนึ่ง ถ้าต้นไม้นั้นสามารถทนไฟได้.
เริ่มแรกเปลวเพลิงโลกันต์นี้นำทางให้ข้าได้พบต้นไม้ที่มีทำนองของตนเอง. เราเดินทางร่วมกัน และเรารวมเป็นหนึ่ง”

ท่าทางของเธออ่อนลง
“เพราะ One ข้าได้เรียนรู้ว่าการไม่มีรากคอยเหนี่ยวรั้งทำให้เราเดินไปไหนได้ดั่งใจ ไม่ได้หยุดที่ดาวเพียงดวงเดียว และเมื่อเธอรับใช้ข้ามาแสนนาน ข้าตกลงให้เธอฝังรากบนดาวดวงอื่น และหาต้นไม้อื่นเพื่อขับขานท่วงทำนองด้วยกัน”

“ตอนนี้ท่านไม่มีต้นไม้ใช่มั้ย?”

“ไม่มี”

“ท่านติดอยู่ที่ดาวนี้เพียงลำพังงั้นรึ”

ข้าต้องใช้พลังของต้นไม้เพื่อเดินทาง” เธอยอมรับ
“แต่ Six เหนื่อยล้า และป่านี้เป็นบ้านเกิดของเขา ดังนั้นเขาจึงขอให้ข้าพาเขากลับบ้านก่อนที่เขาจะจากไป เขาดีกับข้ามาก เขาแบกข้าไปแสนไกล ข้าพาเขากลับบ้าน และรับฟังท่วงทำนองที่จะพาข้าไปผจญภัยต่อ และข้าคิดว่าข้าเจอแล้ว แต่ข้าเดินทางมาไกลจนไปต่อไม่ไหวแล้ว และตอนนี้ข้าเกรงว่าเปลวเพลิงจะชนะข้า”

Teferi ขมวดคิ้วพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของเธอ เสียงฝีเท้าทำให้รู้ว่าพวก Cathar เข้ามาใกล้แล้ว
“ข้าคิดว่านักเวทย์เดินมาทางนี้” หนึ่งในพวกเขาตะโกนบอก

Dryad มองมาที่ Teferi ด้วยความมุ่งร้าย “งั้น เจ้าถ่วงเวลาเพื่อให้พวกนั้นมาจับข้างั้นรึ?” เธอกรีดร้อง อากาศรอบมือเธอเริ่มร้อนและหมุนวน นิ้วมือของเธอปรากฏเปลวเพลิงสีแดงฉาน
“ข้าไม่ถูกฆ่าง่ายๆ ถ้ายังมีบางสิ่งให้ลุกไหม้”

 

Teferi ยกมือทั้งสองข้างขึ้น “ได้โปรด ใจเย็นก่อน พวกเขาไม่ได้มากับข้า” เขาหน้าเริ่มเสีย
“ที่จริง ก็มาด้วยกัน แต่ข้าไม่ใช่พวกเขา. ถ้าเรามุ่งตรงลึกเข้าไปในป่าเราจะถ่วงเวลาพวกเขาได้ ท่านเดินได้หรือไม่?”

Wrenn พยักหน้า “ข้าไม่สามารถหนีจากดาวนี้ด้วยตนเองได้ แต่ข้าเดินได้”

Teferi ยื่นมือของเขาออกมา “งั้นเรามาเดินกัน”

เปลวเพลิงของเธอสลายไป เธอเอามือคล้องแขนของเขา มันเย็นเหมือนเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น และแข็งกว่าที่เขาคาดไว้ แต่นิ้วของเธอเรียวยาวจนกำรอบแขนเขาได้ เมื่อพวกเขาเริ่มเดินเธอก็ค่อนข้างว่องไวทีเดียว

พวกเขาไปได้ไม่ไกลนัก เมื่อ Teferi สัมผัสได้ถึงบางอย่าง “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถาม Wrenn

“พวกเราถูกสะกดรอยตาม” เขาพูด
“ไม่ใช่จากพวก Cathar และอย่าพึ่งหันไปมอง พวกมันเคยตามข้ามาก่อน และข้ามองไม่เห็นพวกมัน”

“ไม่ใช่ทุกสิ่งใน Innistrad ที่จะปรากฏให้เห็น” Wrenn กล่าว
“ผืนดินนี้ไม่ยอมให้คนตายได้พักผ่อน”

“คนตายต้องการทำร้ายเรางั้นรึ?”

“สิ่งใดก็ตามที่สะกดรอยนักเดินทางในป่าโดยไม่เข้าไปทักทายก็ถือว่าไม่ดีทั้งนั้น” Wrenn ตอบ
“ใช่ ข้าว่ามันคิดจะทำร้ายเรา”

“นั่นละที่ข้ากลัว” Teferi หันกลับไปช้าๆ เพื่อไม่ให้ Wrenn ล้ม และถลึงตาใส่พุ่มไม้ด้านหลังพวกเขา
เลิกซ่อนได้แล้ว!!”

สิ่งนั้นไม่ปรากฏรูปร่าง แต่เงามืดที่มีอยู่เดิมกลับเข้มขึ้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร แต่คงไม่ได้มาฉันมิตรแน่ มันแผ่ความอาฆาต พยาบาทออกมา ซึ่งแม้แต่ Wrenn ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณและความตาย ยังตัวแข็งทื่อ

“มันไม่ได้มาจากเหล่าพฤกษา” เธอพึมพำ
“มันไม่มีท่วงทำนอง”

“แสดงตนออกมา!!” Teferi พูดอีกครั้ง พร้อมทั้งร่ายนิ้วมือของเขาอย่างรวดเร็ว

ชูแขนชี้ไปทางเจ้าเงาสีดำนั้น แสงสีฟ้าเปล่งออกมาจากผิวของเขา เมื่อแสงนี้จางลงก็ปรากฏร่างของสัตว์ร้าย มันเป็นสิ่งที่บิดเบี้ยว เป็นการผสมกันระหว่าง มนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ ปากกว้างของมันเต็มไปด้วยฟันแหลมคมที่ไม่คิดว่าจะพบเจอในสิ่งมีชีวิตใด

 


Gnarled Grovestrider

 

มันร้องคำรามด้วยความโกรธ และ Teferi โต้กลับโดยฉับพลัน เขายกมือขึ้นและปล่อยเวทย์แสงสีฟ้าออกไป แต่เจ้าสัตว์ประหลาดกลับจู่โจมเข้ามา และนั้นทำให้ Teferi ตกตะลึง

ไม่ว่าจะเป็น ภูตผีร้ายเช่นไร ก็จะถูกแสงนั้นส่งออกไปในห้วงของมิติเวลา เขาเริ่มร่ายคาถาด้วยปลายนิ้วของเขา ในขณะที่เจ้าสัตว์ร้ายได้คำราม และหนีหายไปพร้อมพลังงานอันสยดสยอง.

 

เขาหันกลับไปหา Wrenn และยื่นมือมาช่วยพยุงเธอ เธอล้มลงตอนที่เขาต่อสู้ และมองดูเขาจากพื้นเหมือนภูติสาวที่อ่อนแอ

“ข้าต้องขอโทษจริงๆ” เขาพูดพร้อมคุกเข่าและยื่นมือให้
“แต่เจ้าสิ่งนั้นมันไปแล้ว แค่ตอนนี้ละ”

“ทางเดินเราก็เหมือนกัน” เธอพูดอย่างฉุนเฉียวขณะดึงตัวเองขึ้น
“ดูสิ่งที่เจ้าทำสิ เจ้านักเวทย์”

Teferi มองผ่านไหล่เขาไป ทางเดินนั้นหายไปแล้วแทนที่ด้วยเหล่าต้นไม้ที่พันกันยุ่งเหยิง แตกแขนงไปคนละทิศละทาง จนทางข้างหน้าแยกเป็นหลายสาย นี่คงเป็นผลพวงจากเวทย์กาลเวลาเป็นแน่

“...โอ้” Teferi พูดอย่างแผ่วเบา

“ใช่” Wrenn พูด “โอ้” เริ่มมีความโกรธแฝงมาในน้ำเสียงเธอ
“ต้นไม้ที่ส่งเสียงเรียกข้าไม่อยู่แล้ว ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย!! เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าเจ้าทำอะไรลงไป?!!”

“ข้าเกรงว่าไม่” Teferi มองดูมือของเขา พลังของเขายังคงไม่สเถียร
“ที่น่าหนักใจคือ ท่านมาที่นี่เพื่อหาต้นไม้ ท่านเลือกพวกนี้สักต้นไม่ได้หรือ?” เขาชี้ไปที่ต้นไม้รอบๆ

“ถ้าแค่นั้นน่ะ!!” เธอพูดโดยแค่นเสียงหัวเราะในน้ำเสียง
“พวกเขาจะพาข้าจากไปแสนไกลได้ถ้าพวกเขาเหมาะสมกับข้า
แต่ไม่มีพวกเขาตนไหนเรียกหาข้า ไม่มีพวกเขาตนไหนที่จะรองรับเปลวเพลิงในตัวข้า ต้นไม้ที่เรียกข้ายังเป็นแค่ต้นกล้า เด็กเกินไปที่จะแบกรับข้า เล็กเกินไปที่จะโดนแผดเผา”

Teferi ขมวดคิ้ว “งั้นพวกเราจะหาต้นไม้ต้นอื่นให้ท่าน ก่อนที่ท่านจะถูกแผดเผา”

“แบบนั้นมันไม่ได้ผล” หญิงสาวท้วงด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าขึ้น “Dryad ขับเคลื่อนดวงดาวด้วยต้นไม้ที่พวกเราปกปักรักษา.
เพราะว่าหัวใจข้าสร้างจากเปลวเพลิง เมื่อข้าเดิน ต้นไม้ของข้าเดินร่วมกับข้า ข้าไม่สามารถพาต้นไม้ที่เด็กเกินกว่าที่จะแบกข้าไปได้ และข้าไม่สามารถทำให้ต้นไม้ที่ไม่เหมาะสมพาข้าข้ามดาวได้.
ข้าต้องตามหาต้นไม้และตอนนี้ข้าก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว!”

Teferi ขมวดคิ้ว คิดตามในสิ่งที่เธอผู้นี้เพิ่งพูดออกมา เขาเริ่มเดินอีกครั้ง และเธอเดินตามเขามา เรื่องนี้มันมีเหตุผลเกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้
“ใจเย็น สหาย” เขาพูดในที่สุด “ท่านต้องการหาต้นไม้ ส่วนข้าต้องการหาทางออกจากเรื่องยุ่งๆที่ข้าทำไว้ บางทีเราน่าจะทำพวกนี้พร้อมกันได้นะ”

“มันก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำแล้ว” หญิงสาวพูด “แต่อย่างที่ข้าบอก เวลาของข้าเหลือไม่มาก”

Teferi พยักหน้า เขาครุ่นคิด “ข้าเข้าใจว่าท่านไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้คนแปลกหน้าเห็น แต่มันฟังดูเหมือนว่าถ้าท่านไม่มีต้นไม้ท่านจะตายใช่รึเปล่า”

“ข้าดูแลตัวเองได้!” เธอตะคอก อากาศรอบมือเธอเริ่มร้อนขึ้นในขณะที่เธอใช้มานาที่เหลือของเธอ “อย่ามาลองดีกับข้า เจ้านักเวทย์”

“ใจเย็น นางไม้” เขาพูด “ใจเย็น และมาแนะนำตัวกันดีกว่า ข้าชื่อ Teferi แล้วท่านล่ะ?”

เธอยืดตัวตรง ความระแวงบางอย่างได้หายไปจากตัวเธอ
“พวกเขาเรียกข้าว่า Wrenn ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้า เจ้านักเวทย์ ตำนานของเจ้าเดินทางไปไกลกว่าเท้าของเจ้าเสียอีก”

สำนวนนั้นทำให้ Teferi ยิ้มออกมา
“งั้นก็ดีสิ ข้าหวังว่านี่จะทำให้ท่านเชื่อว่าข้าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์นะ”

“ไม่มีผู้เดินทางข้ามดาวคนใดเป็นผู้บริสุทธิ์หรอก” Wrenn พูด
“ถึงอย่างนั้น เรื่องเล่าของเจ้าส่วนใหญ่...ก็ไม่ค่อยเลวร้ายละนะ หลายคนเรียกเจ้าว่าผู้มีเมตตา ข้าจะเชื่อใจเจ้า เฉพาะตอนนี้”ความร้อนรอบมือของเธอสลายไป
“ใช่ ถูกต้องที่เมื่อขาดต้นไม้ไป การผจญภัยของข้าคงต้องจบลงที่นี่”

“ท่านสามารถรับฟังเสียงสิ่งอื่นได้หรือไม่ ถ้าข้าให้ท่านยืมพลัง?”

“ข้าสามารถรับฟังได้ แต่เจ้าต้องเป็นคนนำทาง”

Teferi มองไปรอบๆเขาวงกตที่คดเคี้ยว ไม่มีพวก Cathar และผีร้าย เขาถอนหายใจ
“ข้าจะทำเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้ละนะ”

 

พวกเขาเดินตามเส้นทางที่คดเคี้ยวตลอดทั้งบ่าย พวกเขาทั้งคู่ไม่รู้จักพื้นที่มากพอที่จะรู้ว่าที่นี่คือส่วนใดของป่าตอนที่ Teferi ขับไล่เจ้าสัตว์ประหลาดไป

ต้นไม้รอบๆดูคุ้นเคยจนน่าขนลุก และเมื่อ Teferi เอื้อมมือไปแตะก็เกิดประกายไฟ เขาสะดุ้งเมื่อผิวของเขาสัมผัสมัน นี่มันดูคล้ายสิ่งที่เขาทำที่ Zhalfir แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เขาสัมผัสได้ถึงการเวลาที่ไหลผ่านตัวเขา Wrenn เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ แต่ยังคงตามหาเสียงแห่งพฤกษาจะช่วยเธอได้ เวลากำลังเดินไปข้างหน้าในขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากับ Innistrad

พวกเขาแค่กำลังติดอยู่ที่เดิม


 

 

“เราเคยผ่านที่นี่มาก่อน” Wrenn กล่าว “พวกเราเดินวนที่เดิม”

“ไม่” Teferi โต้แย้ง แม้จะสงสัยเหมือนกันก็ตาม “เราไม่ได้เลี้ยวที่ไหนเลย เราเดินไปทางใต้ หรือทะลุไปทางใต้ตลอดเวลา”

“เจ้าได้ยินเสียงเพลงแห่งพฤกษาเหมือนอย่างข้ารึเปล่าล่ะ?” เธอถาม
“พวกต้นไม้ได้กระซิบบอกความปรารถณาแก่เจ้า หรือทำให้เจ้าเข้าใจความต้องการของพวกเขารึเปล่า?
ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะเชื่อเจ้า ถ้ามันเป็นแค่ลางสังหรณ์ก็ ไม่ เจ้าโต้แย้งข้าไม่ได้ และข้าเริ่มล้าแล้ว เราเกือบกลับมาอยู่ที่จุดที่เราเริ่มแล้ว”

Teferi มองหาสัญญาณของความร่าเริงในตัวเธอ เธอมองกลับมาด้วยดวงตาที่เบิกโพลงและไม่ปกปิดความเหนื่อยล้า เขาบอกได้แค่เพียงว่าเธอพูดถูก เขาหยุดเท้าลงกลางทางสัมผัสถึงกระแสเวลารอบตัว และที่ตรงนั้น ตรงชายขอบทางด้านขวา มีบางสิ่งซ่อนอยู่ เขาสามารถทำลายคาถานี้ได้โดยไม่คิดซ้ำสอง

แต่กลับกันมันเป็นกับดักที่มีไว้เยาะเย้ยพวกเขา Wrenn ดึงมือของเธอออกจากแขนของเขาและก้าวมายืนขวางท่อนซุงที่ตอนนี้เริ่มเน่าเปื่อย เธอยังคงสง่างามแม้จะมีอาการล้าอย่างเห็นได้ชัด
เธอนั่งลงและพูดว่า “นี่ไม่ใช่จุดจบที่ข้าฝันไว้ตอนที่ข้ายังเป็นเมล็ดเลย”

“มันยังไม่ใช่จุดจบ” Teferi แย้ง “มันก็แค่การร่ายคาถาที่ผิดพลาด แน่นอนว่าท่านก็ต้องเคยเห็นคาถาที่ผิดพลาดมาก่อน”

“ใช่ และถ้ามันเกิดขึ้นกับข้า ข้าแค่จับมันแยกออกจากกันและปล่อยมันสลายในมือของข้า...” เสียงเธอหายไปหลังจากมองหน้าที่ขมวดคิ้วของ Teferi
“อะไร?”

“จับพวกมันแยกจากกัน ทำได้ไง?”

“ทุกสิ่งที่มาจากเจ้าจะยังคงเป็นของเจ้า ตลอดไป” เธอพูด
“สายน้ำที่ชโลมผืนดินผ่านสู่รากไม้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของก้อนเมฆ
เรื่องราวจากรอยเท้าของเจ้ายังคงเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า
และเจ้าก็จะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เจ้าจะเป็นตลอดไป
ถ้าเวทย์มนต์เป็นของเจ้า เจ้าสามารถรวบรวมมันมาไว้ใกล้ตัว และหาสถานที่ที่มันเริ่มพัวพันกันและแก้มันออกทีละชิ้น. สิ่งเหล่านั้นจะถูกปลดปล่อยและหวนคืนสู่มานาที่เป็นจุดเริ่มต้น”

Wrenn กระพริบตา “พวกเจ้าไม่ได้มองเวทย์มนต์กันที่รากเหง้าหรอกรึ?”

“เปล่า” Teferi พูดอย่างระวัง “พวกเรามองที่ผลงานน่ะ...สายธรรมชาติ เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ”

“เวทย์มนต์นั้นมีชีวิต เจ้ามองเห็นเวทย์มนต์ของเจ้ามั้ย?”

“ข้าเห็น”

“เจ้าสัมผัสมันได้หรือไม่”

เขาทำสีหน้าบิดเบี้ยว นึกถึงเหล็กในที่ฝังที่มือเขาด้วยเวทย์มนต์ “ข้าทำได้”

“เจ้าถือมันไว้ได้หรือไม่?”

“ข้าทำด้วยตัวเองไม่ได้”

“อา ราก(พื้นฐานของเวทย์มนต์) ของเจ้าตื้นเกินไป มานี่สิ ข้าจะช่วยเจ้า” เธอฮัมบทเพลงที่ไพเราะ และเวทย์แห่งธรรมชาติได้หมุนรอบตัวเขา แสงสว่างจ้าขึ้น รวมถึง spark ของเขาเอง
“ตอนนี้เจ้าถือมันไว้ได้รึยัง?”

Teferi รวบรวมคาถาอีกครั้ง และยิ้มออกมาในขณะที่มันพยายามผลักเขาออก “ข้าทำได้”

“ดี ทีนี้เจ้าต้องจำไว้ว่าจะต้องแก้ปมที่พันกันโดยเคลื่อนผ่านพวกมัน จะมีจุดหนึ่งเสมอที่กิ่งก้านจะเข้าไปรวมกัน ใช้มันเพื่อฟังท่วงทำนอง ค้นหาสถานที่ที่ไม่กลมกลืนกับตัวมันเอง และเจ้าจะแก้มันได้”

 

Teferi ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่อยากโต้เถียงกับเธอ ไม่ใช่ในตอนที่เธออาจจะหายไปในเวทย์กาลเวลาของเขาถ้าเกิดเขาพลาด เขาสูดลมหายใจและรับรู้ถึงการบิดเบือนอย่างที่เธอบอก

เมื่อเขาพบมัน มันไม่ใช่ผลกระทบจากภายนอก หรือการประสานที่ล้มเหลว มันเป็นแค่ความคาดเคลื่อนของเข็มวินาทีเท่านั้น คอของนาฬิกาทรายกว้างจนทำให้ทรายไหลออกมามากเกินไป มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้สนใจจะมองเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้พลังของ Wrenn ช่วยเขา.

ตอนนี้เขาสามารถแก้ปัญหาได้ราวกับปอกผลส้ม

 

เมื่อแยกชั้นเวทย์มนต์ออกมามันก็ง่ายที่จะมองเห็น สิ่งที่น่าเกลียดที่มาพัวพันกับมานาสีฟ้าของเขา เวลาที่บิดเบี้ยวนั้นคือนาฬิกาทรายที่พังยับเยิน เขาซ่อมแซมมันให้กลับเป็นคาถาดังเดิม

เมื่อทำสำเร็จก็ไม่มีเหล็กในทิ่มแทงเขาอีกต่อไป เขาสัมผัสมันได้ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดบุบสลาย

เขาเงยหน้าขึ้น และทางเดินได้กลับมาแล้ว มันไม่ได้เป็นทางตรงแต่ไม่มีเขาวงกตที่ยุ่งเหยิงอีกแล้ว เป็นทางที่ปลอดภัย ไม่ได้รู้สึกถึงเวทย์กาลเวลาที่รั่วไหลในอากาศอีกต่อไป

เวทย์มนต์ของ Wrenn ไหลออกจากตัวเขา เขาหันไปมองเธอ และเธอมองกลับมาด้วยแววตาที่อ่อนล้า

“ตำนานของเจ้าเล่ามาถูกต้องแล้วล่ะ” เธอกล่าว “เจ้าควรได้รับท่วงทำนองของเจ้า”

“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก” Teferi พูด เขาเคยล้มเหลวมาก่อนในอดีต “สถานที่ที่ข้าเกิด Zhalfir… ข้าทำมันหายไป”

“เจ้าทำมันหายงั้นรึ?”

“ใช่หายไปทั้งทวีป โดยเวทย์มนต์ที่คล้ายแบบนี้ ข้าไม่เคยแก้ไขมันได้เลย” และเขาก็นึกขึ้นได้ “ถ้าท่านหาต้นไม้ต้นใหม่เจอ บางที----”

“เมื่อเส้นทางของเรามาบรรจบกันอีกครั้ง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ เธอมุ่งความสนใจไปที่ป่าด้านหลังเขา


 

เหตุการณ์ที่เหล่า Phyrexian บุกเมือง Zhalfir ทำให้ Teferi ใช้เวทย์มนต์ของเขาปกป้องเมืองแต่กลับทำให้ทั้งเมืองติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลาแทน

 

[[เหตุการณ์ที่ Zhalfir: ย้อนไปราวๆ 5000 ปีก่อน, ณ ดาว Dominaria ยังมีเมือง Zhalfir เป็นเมืองท่าของทวีป Jamuraa และเป็นบ้านเกิดของ Teferi ด้วย]]
[[จนกระทั่งราวๆ ปี 4200 A.R (ปัจจุบันคือช่วงปี 4560 A.R.) มีการรุกรานจาก Phyrexian ที่ Jamuraa]]

[[แม้ว่าผู้นำเมือง Zhalfir จะมั่นใจในศํกยภาพการรบของตนเอง แต่ Teferi รู้ดีว่า พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับเหล่าเครื่องจักรได้]]
[[Teferi จึงตัดสินใจใช้เวทย์มนต์ของเขา นำเมือง Zhalfir ทั้งเมืองไปซ่อนไว้ (Phase Out)]]
[[กระนั้น ผลกระทบของมันทำให้เกิดรอยแยกมิติในเวลาต่อมา ซึ่ง Teferi ได้สละพลัง Spark ของตัวเองเพื่อปิดรอยแยกที่เมือง Shiv]]
[[ส่วน Jeska ได้ใช้พลัง Spark ของเธอ ปิดรอยแยกที่ Zhalfir เอง, ทว่า มันกลับส่งผลให้เมือง Zhalfir ที่ติดอยู่ในอีกมิติ ไม่สามารถกลับมายังโลกปัจจุบันได้อีกเลย]]
[[Teferi ที่สูญเสียพลัง Spark ระดับ Pre-Mending ไปแล้ว จึงไม่สามารถพาบ้านเกิดของเขากลับมาได้อีกเลย]]

 

Teferi สาปแช่งในความโง่เง่าของตนเอง ถ้าตัวตนยังไม่ถูกลบโดยสมบูรณ์ก็มีทางที่พวกเขาจะถูกเจอตัวได้ ถึงแบบนั้นพวก Cathar ก็ยังออกค้นหาไปทั่วป่านี้ เขาหันกลับมาอย่างช้าๆ เตรียมพร้อมจู่โจม

แต่เขากลับเห็นเพียงต้นไม้ ที่เหมือนกับต้นอื่นที่อยู่รอบๆ ต้นโอ๊กที่แข็งแรงแผ่กิ่งก้านและใบสีเขียวขจี จากนั้น Wrenn ก็เดินจากเขา เธอจับจ้องอยู่ที่ลำต้นของต้นโอ๊ก ที่ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดฉีกมันขาดได้ เขาไม่มั่นใจว่าเธอยังหายใจอยู่มั้ย และเขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่าพวก Dryad ต้องหายใจมั้ย? กฎของธรรมชาตินั้นแตกต่างกันไปในแต่ละที่ พวกเขาใช้ชีวิตตามหลักความเป็นจริง

Wrenn มุ่งหน้าสู่ต้นโอ๊ก เมื่อเข้ามาใกล้เธอชูมือขึ้นปลายนิ้วของเธอลูบไปบนเปลือกไม้ และเริ่มผิวปาก ช่างเป็นเสียงที่ต่ำและอ่อนหวาน ถ้า Teferi ไม่ได้จ้องเธออยู่คงคิดว่าเป็นเสียงนกร้อง เธอเงยหน้าขึ้นราวกับกำลังรับฟัง และจมลงไปในลำต้นราวกับปลาในแม่น้ำ ต้นโอ๊กไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น และ Wrenn ได้หายไป


 

Wrenn และ บ้านใหม่ของเธอ Seven

 

Teferi กระพริบตา และเดินไปที่ต้นโอ๊ก เขาเกือบเดินไปถึงแล้วตอนที่เปลือกไม้ได้แยกออก และหัวของ Wrenn โผล่ออกมา การเห็นต้นไม้มีหัวและไหล่ของหญิงสาวออกมามันค่อนข้างอธิบายเป็นความรู้สึกยาก แต่ก็ไม่ได้แปลกเกินเรื่องอื่นๆที่เกิดในวันนี้หรอกนะ

“เจ้าคือปาฏิหาริย์ เจ้านักเวทย์” เธอกล่าวอย่างเบิกบาน “ปาฏิหาริย์และความผิดพลาดในเวลาเดียวกันนั้นเป็นเรื่องปกติกว่าที่เจ้าคิดนะ”

“ท่านหมายความว่ายังไง?”

“ถามทำนองของเจ้าสิ” เธอพูดและกลับเข้าไปในต้นไม้ที่ตอนนี้เริ่มสั่นราวกับพยายามดึงตัวเองขึ้นจากพื้นดิน เขาก็เห็น Treefolk ตนหนึ่งกำลังตื่นขึ้น และ Wrenn ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ร่างของเธอยื่นออกมาราวกับรูปปั้นที่หัวเรือ ร่างของเธอส่วนใหญ่อยู่ในเปลือกไม้ ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มอันแสนงดงาม

Teferi เข้าใจได้ในทันที “นี่คือต้นกล้าที่ขับร้องเพลงให้ท่านฟัง”

“เจ้าบิดเบือนเวลา เหล่าต้นไม้แปรเปลี่ยนกาลเวลาเป็นภูมิปัญญา และเด็กคนนี้รู้ว่าข้าอยู่ไม่ไกล มันรวบรวมกระแสเวลาเท่าที่ทำได้” เธอหยุดนิ่ง เอียงศรีษะไปด้านข้างราวกับรับฟังอะไรบางอย่าง
“Seven บอกว่าเขารู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งที่เจ้าทำ แม้เจ้าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม พวกเขาเรียกหาข้า แต่คิดว่าข้าคงไม่รับฟัง พวกเขาต้องการไปเห็นดาวต่างๆ”

“ท่านแสดงให้พวกเขาเห็นได้มั้ย?”

“ตำนานของเจ้าเดินทางได้ไกลกว่าเท้าของเจ้า ตำนานของข้าไปได้ไกลเท่าที่ไกลได้” เธอกล่าว “ข้าเป็นหนี้เจ้า”

“เช่นเดียวกับที่ข้าเป็นหนี้ท่าน สำหรับการช่วยแก้ความยุ่งเหยิงของข้า”

“งั้น พวกเรายินดีที่ได้พบเจ้า เจ้านักเวทย์ และข้าหวังว่าพวกเจ้าจะพบสันติสุขที่เจ้ามาตามหาที่นี่ ข้าจะช่วยเจ้าเท่าที่ทำได้ในอนาคต แต่ตอนนี้ข้าสัญญากับ Seven ว่าจะพาเขาออกจาก Innstrad และข้าต้องรักษาคำพูด”
ต้นไม้ หรือ Treefolk หรือเปลือก หรืออะไรก็ตามแต่ ที่ยังคงเติบใหญ่กว่าต้นโอ๊กต้นอื่น ได้พา Wrenn ออกไป เธอโบกมือลา Teferi แล้วเอนหลังลงกับลำต้น และหลับตาลง
เจ้าต้นไม้ยักษ์เดินหน้าเข้าไประหว่างต้นไม้อื่น ต้นไม้พวกนั้นแหวกทางให้พวกเขา หลังจากพวกต้นไม้กลับคืนที่เดิม Dryad และ Treefolk ก็จากไปแล้ว.

เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในป่านี้ที่ Teferi รู้สึกโดดเดียว เขายิ้มให้กับความว่างเปล่าและหันหลังกลับไปที่หมู่บ้าน เขาจะแจ้งพวก Cathar ว่าภัยอันตรายได้ถูกจัดการแล้ว

และเขาไม่ได้โกหก บางทีนี่อาจไม่ใช่สันติที่เขาตามหา แต่เขาได้เป็นบทเรียนที่เขาไม่ได้ตั้งใจ และพันธมิตรใหม่ที่มีค่ายิ่งกว่าสันติ โดยเฉพาะกับคนที่เดินทางได้ไกลกว่าตำนานเช่นเขา

 

 

 

Magic Story By Seanan McGuire