“ไหนบอกว่า ถ้ากุญแจอยู่ที่ Thraben แล้วจะปลอดภัยไง” Chandra พูดขึ้น

ก่อนที่จะมีเสียงครางของผีดิบตอบขึ้นมา

Kaya บีบจมูกของเธอ, Teferi กลั้นหายใจของเขา แล้วพยายามหายใจทางปากแทน แต่ก็ไม่สามารถปิดบังกลิ่นอันเหม็นเน่าของพวกซากศพเดินได้จำนวนมหาศาลตรงหน้า

แม้ว่าเวลาที่พวกเขามาถึง จะเป็นเวลากลางวัน แต่เมฆครึ้มฟ้า ก็ช่วยกันบดบังแสงอาทิตย์ จนกลายเป็นเงามืดที่บดบังมหาวิหารแห่ง Thraben

ภาพที่ Arlinn เห็นแล้วก็อดปั่นป่วนในท้องไม่ได้... ยอดมหาวิหารที่เธอเคยขึ้นไปนั่งอ่านหนังสือยามเด็ก ตอนนี้มันร่วงลงมากองอยู่กับเศษซากปรักหักพังอื่นๆ ที่พื้น

กระจกสีที่ถูกวาดด้วยลวดลายอันวิจิตรตระการตา ก็กลายเป็นเพียงเศษแก้วที่เกลื่อนกลาดพื้น... และฝูงผีดิบที่อยู่ทั่วทั้งบริเวณยิ่งทำให้ Arlinn ไม่อยากนึกย้อนอดีตไปอีก... เธอไม่อยากเห็นคนที่เธอเคยรู้จัก เป็นหนึ่งนั้นเลยจริงๆ

แต่เป้าหมายของพวกเขาคือไปยังมหาวิหารแห่ง Thraben... ซึ่งในตอนนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฝ่าฝูงประชากรผีดิบมากมายขนาดนี้

“กุญแจก็คงจะปลอดภัยตามที่เราคาดการณ์ไว้นั่นแหละ” Adeline พูดขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของ Arlinn “แต่เพื่อความแน่ใจ เราต้องจบการสืบสวนครั้งนี้ให้ได้ก่อน”

พวกเขาใช้เวลาราวๆ 1 สัปดาห์เพื่อเตรียมตัวระหว่างการเดินทางมายัง Thraben

และก็เป็น Kaya ที่แยกกลุ่ม ออกลาดตระเวนทันทีที่มาถึง ก่อนที่เธอจะกลับมาพร้อมกับคัมภีร์โบราณฝุ่นจับเล่มหนึ่ง

“หน้า 77” Kaya พูดขึ้น

คัมภีร์เล่มนั้น ถูกเปิดไปยังหน้าดังกล่าว มันส่องแสงเรืองๆ สีทองออกมา

ภาพประกอบจากการแกะสลักลงไปยังผิวไม้อันแสนประณีต แสดงให้เห็นรูปของหญิงคนนั้นหนึ่งที่แต่งกายแบบเดียวกับเหล่า Dawnhart เธอมีใบหน้าละม้ายกับ Katilda กำลังยื่นกล่องอะไรบางอย่างให้กับครอบครัวหนึ่ง

ครอบครัว Betzold จากเมือง Gavony

 

Arlinn คุ้นเคยกับตระกูล Betzold ดี... เธอรู้จัก Worin Betzold, บาทหลวงผู้เข้มงวดสุดๆ ในสมัยที่เธอยังแวะเวียนมาที่มหาวิหารแห่งนี้บ่อยๆ

เพียงนึกถึงวันวาน เธอก็เผลอกำหมัดของเธอจนเจ็บมือไปหมด...

และถ้า Worinn ยังมีชีวิตอยู่... แต่ในสถานการณ์แบบนี้ มันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อแบบนั้น

“ฉันว่า ฉันเจอตัวเขาแล้วล่ะ” Adeline พูดขึ้น, เธอชี้ไปที่ใจกลางของซากปรักหักพังแห่งมหาวิหาร...

อาภรณ์ที่ร่างนั้นสวมใส่ มันคือชุดของนักบวชแห่งมหาวิหารแห่งนี้ มันกำลังยืนอยู่หน้าธรรมาสน์เก่า ราวกับกำลังพร่ำบทสวดให้กับเหล่าผีดิบที่บ้างก็คำนับลงไปกับพื้น บ้างก็ปรบมือราวกับพวกมันยังมีชีวิตอยู่...

ภาพนั้นทำให้ Arlinn ตกอยู่ในภวังค์ของความตระหนก... ใครจะไปคิดว่าเธอจะได้พบกับคนรู้จัก ในสภาพแบบนี้

 


Liliana, the Last Hope
 

หลังจากเหตุการณ์ที่ Liliana Vess จอมเวทย์แห่งความตาย ได้ปลุกชีพเอาบรรดาผีดิบจากทั่วทั้งเมืองมาเพื่อต่อกรกับเหล่า Eldrazi ในครั้งก่อน ซึ่งแค่นั้นมันก็แย่เกินพอ ที่เธอทำให้ทั้งเมือง Thraben เต็มไปด้วยผีดิบ

แต่ปัญหาที่ตามมาคือทำอะไรกับมันต่อ?

และเมื่อมีคนถามคำถามนี้กับผู้ที่เรียกบรรดาผีดิบขึ้นมา, Liliana กลับตอบเพียงว่า “อยากทำอะไรกับมันก็ทำไปสิ... เอาพวกมันไปใช้งานอย่างอื่นก็ได้นะ หัดใช้หัวคิดซะบ้าง”

แต่ยิ่งคิด ก็ยิ่งทำให้ Arlinn รู้สึกแย่มากขึ้นไปเสียเปล่าๆ เธอต้องกลับมาให้ความสนใจกัภารกิจตรงหน้าเสียก่อน... เธอหันกลับไปพยักหน้าให้กับ Adeline แทนคำตอบ... ร่างที่ธรรมาสน์นั่นแหละ คือ Worrin Betzold

“ไม่มีตัวเลือกสินะ” Kaya พูดขึ้นมา “ต้องมีใครซักคนเปิดทางไปหามัน”

Adeline กระโดดขึ้นม้าคู่ใจของเธอ ม้าศึกที่เธอตั้งชื่อเท่ๆ ให้กับมันว่า Thunderbolt... หรือ Lionshield... หรือเอ่อ... ชื่ออะไรก็ช่างเถอะ

แต่แค่นั้น ก็มากพอที่จะจุดประกายแห่งความหวังได้แล้ว

“ฉันจัดการเอง” Adeline กล่าว “กองรบทหารศักดิ์สิทธิ์ของฉัน รบกับพวกผีดิบมานานแล้ว พวกเธอที่เหลือพยายามเข้าถึงตัว Worrin ให้ได้ก็พอ”

Chandra มองไปที่ฝูงผีดิบ ก่อนที่จะหันมามองที่ Adeline แล้วพูดขึ้นว่า “ว่าไงนะเจ๊? จะลุยเองงงั้นเหรอ? ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวฉันจะดูหลังให้ พวกเธออีกสามคนไปจับลุงผีดิบ Worrin มาให้ได้นะ”

และแล้ว อากาศรอบๆ ตัว Chandra ก็ร้อนขึ้นมาทันที่ เพลิงลุกขึ้นมาพร้อมๆ กับรอยยิ้มของ Channdra... ก็คงไม่มีตัวเลือกอะไร นอกจากปล่อยให้เธอได้ใช้พลังของเธอ

Adeline ยิ้มกลับให้ Chandra “กองรบทหารศักดิ์สิทธิ์จะเป็นหน่วยบุกทะลวง ส่วนเธอก็คอยระวังหลังนะ Chandra Nalaar

Chandra ตะเบ๊ะตอบแบบยียวน

มันคงจะทำให้ Arlinn ยิ้มออกได้... ถ้าสถานการณ์ไม่ได้กดดันขนาดนี้

 


Chandra Nalaar
 

Adeline และกองรบของเธอควบม้าพุ่งเข้าชนกับเหล่าผีดิบราวกับค้อนศักดิ์สิทธิ์ที่ตีลงไปบนทั่งผีดิบ

คมดาบของเธอตัดหัวของพวกมันราวกับผลไม้ร่วงลงจากต้น

ก่อนที่จะมีผีดิบกระโดดเข้าโจมตี Adeline จากด้านหลัง!

แต่แสงเวทย์มนต์จากคทาของ Teferi ยิงไปที่ผีดิบตัวนั้น ทำให้มันค้างอยู่กลางอากาศ

แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็มากพอให้ Adeline หันกลับมาสังหารมันได้

 

ทะเลผีดิบได้ถูกแหวกออก Kaya ใช้พลังไร้สสารของเธอเคลื่อนที่ตามไปอย่างรวดเร็ว

Arlinn วิ่งตามก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่า รสของแขนผีดิบที่เธอกัดจนมันขาดของมาชวนแหวะอยู่ในปาก มันทำให้ Arlinn ต้องใช้กรงเล็บของเธอแทน... แต่กลิ่นชวนอ้วก และเลือดเน่าๆ ของพวกมันก็ยังกระเซ็นมาติดตามร่างของเธออยู่ดี

Teferi คอยใช้พลังของเขาชะลอการเคลื่อนที่ของเหล่าผีดิบจากด้านท้าย

ก่อนที่ Chandra ตะเข้ามาประกบท้าย ปิดขบวนเดินทางนี้ แทนที่ Teferi

Chandra ใช้พลังของเธอยิงเพลิงออกจากมือทั้งสองข้าง ราวกับมังกรพ่นไฟ พลังของมันเปลี่ยนจากผีดิบที่เดินช้าไปเป็นเพียงเถ้าถ่าน

และการแสดงพลังของเธอก็อดให้ Arlinn นึกถึงคำพูดของ Thalia ไม่ได้... แม้แต่พวกผีดิบ ก็กลัวเป็น... และพวกมันก็กำลังกลัวพลังเพลิงของ Chandra อยู่

พวกผีดิบพยายามจะหนีจากเปลวเพลิงสุดร้อนแรง แต่ Chandra ก็ไม่ปล่อยพวกมันไป

Adeline หันมามอง Chandra ที่อาบไปด้วยแสงสีส้มจากไฟของเธอเอง และก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ ว่านี่แหละ คือแก่นของจอมเวทย์เพลิง... พลังแห่งการทำลายล้าง ที่มีไว้เพื่อช่วยชีวิต

แต่ทางด้านของ Arlinn นั้น คิดเพียงอย่างเดียว... ถ้าเป็นไปได้ เธอจะไม่ทำให้ Chandra โมโหเด็ดขาด

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปให้ถึงโบสถ์ที่ถูกล้อมรอบด้วยฝูงผีดิบ

แต่ด้วยความช่วยเหลือของพลังแห่งเพลิง และดาบแห่งศรัทธา

พวกของ Arlinn ก็สามารถเคลื่อนขบวนเข้าใกล้เป้าหมายของพวกเขาได้เรื่อยๆ

“ได้ตัวผีลุงรึยัง!?!” Chandra ตะโกนถามมาจากแถวหลัง

แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะได้ยินเสียงของเธอ ท่ามกลางการคำรามของเปลวเพลิงที่คอยปกป้องคณะผจญภัยนี้อยู่

กระนั้น ประสาทสัมผัสที่ถูกผลักดันด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ป่าในตัว Arlinn เธอจึงเป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงนั้น และเร่งฝีเท้าเข้าหาเป้าหมาย

เธอกระโจนเข้าหา Worrin และกลายร่างเป็นมนุษย์ ก่นอที่จะตรึงร่างเขาไว้กับผนังของโบสถ์ที่เคยเรืองรอง

ดวงตาอันว่างเปล่าของร่างไร้วิญญาณนาม Worrin เริ่มจับจ้องมาที่ Arlinn ปากของเขาเริ่มขยับราวกับจะเรียกชื่อของเธอ... หรือมันแค่อยากจะงับเนื้ออร่อยๆ ตรงหน้าก็ได้

“บาทหลวง Worrin นี่ฉันเอง” Arlinn พูดขึ้น “ท่านจำฉันได้ใช่มั้ย?”

“Dennick?” เสียงทุ้มต่ำของร่างไร้วิญญาณนั้นให้คำตอบ

Arlinn หันไปมองด้านหลัง, ทีมของเธอเริ่มจำกัดวงล้อมเข้ามา นั่นหมายความว่า เธอมีเวลาคุยกับผีดิบ Worrin ไม่มากแล้ว

“Worrin, พวกเรากำลังตามหากุญแจ Moonsilver” Arlinn พูดด้วยความพยายามจะใจเย็นกับร่างอันตรงหน้า... ร่างของคนที่เธอเคยรู้จัก “ท่านรู้ที่เก็บใช่มั้ย?”

Worrin กระพริบตา ก่อนที่จะงับปากที่ไม่เหลือฟันซี่ใดๆ อีกครั้ง... มันคือความเงียบที่เป็นคำตอบ

ความเงียบท่ามกลางเสียงรบกวนของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ฟาดฟันเหล่าผีดิบที่ยังถาโถมมาไม่หยุด

“กุญ...แจ... อยู่...ไหน...” Arlinn พูดช้าลง หวังให้นางฟ้าองค์ใดก็ได้ โปรดช่วยประทานพรให้ที

“Dennick” บาทหลวง Worrin ยังคงพูดคำเดิม

“Arlinn! เราไม่มีเวลาแล้ว” Adeline ตะโกนมาจากด้านหลัง

“กุญแจ!” Arlinn ย้ำอีกครั้ง

“D... Dennick...”

Arlinn ตะโกนแจ้งข่าวร้าย “เราคงไม่ได้เบาะแสอะไรมากกว่านี้แล้วล่ะ”

“เจ๋งเลย” Chandra ตะโกนออกมา “เจ๊ Addy ดูหลังให้ด้วย”

ก่อนที่ Chandra จะกลายเป็นแนวหน้า ในการบุกฝ่าฝูงผีดิบ ออกจากเศษซากมหาวิหาร

เสียงกระดูกหักลั่นออกมา, Arlinn เลือกที่จะส่งบาทหลวง Worrin ไปสู่สุขคติ... อย่างแท้จริงเสียที

 

- อีกด้านของชีวิต -


 

บางครั้ง คุณคิดว่ารู้จักใครคนหนึ่งเป็นอย่างดี... แต่จริงๆ แล้ว คุณก็แค่รู้จักเขาเป็นอย่างดีในมุมๆ เดียวเท่านั้นเอง

Worrin ในภาพจำของ Arlinn ก็เป็นชายผู้เคร่งศาสนา... ชายที่สามารถถอุทิศชีวิตของตัวเองให้กับโบสถ์ได้

Arlinn แทบจะนึกไม่ออกเลยว่า เธอกับ Worrin เคยคุยกันเรื่องที่ไม่ใช่ศาสนาบ้างมั้ย?... แต่ก็พอจะรู้บ้างว่า Worin เขาใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็กอยู่ที่เมือง Gavony... และนั่น ก็เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่ Arlinn มีอยู่

 

เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงยังเมือง Gavony อันเงียบสงบ และเริ่มสืบหาเรื่องราวของตระกูล Betzold, พวกเขาก็ได้พบกับอีกด้านของบาทหลวง Worrin

 

Worrin กับ Dennick งั้นเหรอ?” หญิงชราคนหนึ่งทวนคำถามของ Arlinn ในขณะที่มือของเธอก็ยังง่วนอยู่กับการกะเทาะเอาเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนลูกฟักทองในสวนของเธอออก “มันก็คงสมควรแก่เวลาที่จะมีคนมาเยี่ยมแล้วล่ะนะ”

Arlinn นั่งชันเข่าลงข้างๆ หญิงชราคนนั้น “งั้นเหรอ? ถ้างั้นต้องขอโทษที่พวกเรามาช้าไปหน่อย, หิมะทำให้เราเดินทางยากน่ะ”

“หิมะไม่ได้ตกหนักขนาดนั้นหรอกน่า” หญิงชราคนนั้นตอบ “ที่จริงมันมีแต่น้ำค้างแข็งด้วยซ้ำ... ที่สำคัญ เธอก็แก่เกินกว่าจะอ้างว่าหิมะมันตกหนักนะแม่หนู”

Arlinn ยิ้มมุมปากออกมา เธอหวนนึกถึงวันวานเก่าๆ

ไม่ว่าเธอจะออกเดินทางไปยัง Plane ไหนๆ ก็ตาม... สุดท้าย ก็ไม่มีที่ไหนที่จะทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเท่าที่นี่หรอก

“นั่นก็จริงนะคะ... แต่พอจะช่วยเล่าเรื่องของ Worrin กับ Dennick ให้พวกเราฟังได้มั้ย?”

หญิงชราคนนั้นมอง Arlinn เขม็ง “พวกเธอมาช้าเกินไป”

“ช้าเกินไปงั้นเหรอ?” Arlinn ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“ถ้าหนุ่มน้อย Dennick ไม่ได้ตายเพราะอดยากจากเหตุการณ์ Travails... ตอนนี้ก็คงตายจริงๆ อยู่ดี” หญิงชราตอบDennick เขาหนีไปอยู่ในคฤหาสน์เก่าของตระกูล Betzold... แล้วก็ไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย, ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็เตือนว่า ไอ้บ้านนั่น มันบ้านผีสิงชัดๆ”

Arlinn มองไปที่แนวทิวเขา ที่ตั้งของคฤหาสน์ Betzold กับหน้าต่างที่เปิดอ้าทิ้งไว้ “แล้ว... Dennick จะไปอยู่ที่นั่นทำไม ถ้ามันเป็นบ้านผีดุน่ะนะ?”

หญิงชราคนนั้นปัดน้ำแข็ง และฝุ่นดินออกจากมือของเธอ “เพราะ Dennick คือลูกชายของ Worrin ยังไงล่ะ”

 

- สู่สุขคติ -

เหตุการณ์ Travails แทบจะทำลายทุกๆ อย่างใน Innistrad

แต่ทว่า มันก็ผันผ่านแรงใจของผู้คน ที่เริ่มซ่อมแซมหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างในโลกใบนี้

สัญญะแห่ง Avacyn ที่ถูกซ่อมแซม ได้นำมาประดับตามข้างทาง แม้มันจะถูกประกอบจากโลหะบ้าง, ไม้บ้าง แต่มันก็ยังคงความหมายแห่งศรัทธาได้เช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

กระนั้น ผู้คนใน Innistrad ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก

ดาวดวงนี้ยังคงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ความมืดมน ที่ยึดเหนี่ยวเพียงไม่กี่อย่าง มันก็จะพอช่วยประคับประคองจิตใจได้ไม่น้อย

 

Innistrad อาจจะล่มสลาย แต่ผู้คนก็จะซ่อมสร้าง... และ Innistrad จะคงอยู่

 

มันก็ฟังดูสวยหรู จนกระทั่งคฤหาสน์แห่ง Betzold ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคฤหาสน์ที่ผุพัง ไร้ผู้ดูแล หน้าต่างและเส้นสายของเถาวัลย์ราวกับดวงตา ประตูที่เปิดทิ้งไว้ก็ช่วยประกอบให้เหมือนใบหน้าของปีศาจที่กำลังกรีดร้องอยู่...

แม้มันจะทำให้ Arlinn รู้สึกกระอักกระอ่วน แต่พวกเธอก็ต้องเข้าไปตามหากุญแจสีเงินภายในนั้น

 

กระนั้น Kaya ดูจะสบายๆ กับบรรยากาศแบบนี้ ประตูคฤหาสน์ที่ขยับได้เองไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหวั่นเกรงอะไร เธอสอดส่ายสายตาไปมา ก่อนที่จะขมวดคิ้ว และหันมาถามเพื่อนร่วมทีมของเธอ “นาย Dennick เขาอยู่ในนี้งั้นเหรอ?”

Arlinn พยักหน้า “อยู่กับฝูงผีร้ายสินะ?”

“ก็น่าจะมีผีเต็มไปหมดและเจ๊” Chandra เสริม

“ฉันมีสัญญะศักดิ์สิ-” Adeline ยังพูดไม่ทันจบ Kaya ก็ขัดขึ้นมา

“ไม่ต้องหรอก” Kaya พูด “ขอเวลาซัก 5 นาที แล้วค่อยตามเข้ามานะ”

 

Kaya ไม่รอช้า เดินเข้าไปยังคฤหาสน์ผีสิงนั้นอย่างมั่นใจ กลิ่นของเวทย์มนต์จาก Kaya ลอยมาเตะจมูกของ Arlinn

ตามด้วยเสียงฮัมทุ้มต่ำที่เป็นท่วงทำนองของเวทย์แห่ง Kaya

 

Adeline ชะโงกหน้าจากหน้าต่างที่แตกๆ บานหนึ่ง เพื่อสอดส่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตามมาด้วย Chandra... แล้วทั้งคู่ก็ปรากฏสีหน้าที่บ่งบอกว่า... มันมีเรื่องเหนือความเข้าใจของทั้งคู่ กำลังเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้

 

การหักห้ามใจเป็นเรื่องยาก... นั้นคือสิ่งที่ Tovolar คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน

การอยู่ในร่างมนุษย์นั้น ช่างแสนจะอึดอัด และจำกัดสัญชาตญาณ... มันเป็นสิ่งที่ Tovolar คอยพร่ำสอน Arlinn

แต่เหล่าผู้คนแห่งศาสนจักร กลับตักเตือน Arlinn หากเธอไม่รู้จักควบคุมความปราถนาของตนเอง

 


Kaya Exorcism
 

Arlinn มองเข้าไปยังกระจกอีกบาน หมอกควันสีขาวหม่นๆ ฟุ้งกระจายไปตามเส้นทางที่ Kaya เคลื่อนที่

คฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยผีร้ายตามที่หญิงชราได้บอกกับเธอ... แต่ด้วยความว่องไวในการจัดการผีของ Kaya แล้ว Arlinn ก็วางใจได้ว่ามันคงเป็นคฤหาสน์ผีสิงได้อีกไม่นาน...

แต่ Arlinn ก็อดคิดไม่ได้ ว่าเหล่าวิญญาณที่ถูกสังหารลง จะไปอยู่ที่ไหน? หลับไหลนิรันดร์ หรือจากไปที่อื่นใด? ในตอนนี้เธอได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ถาม Kaya หลังจากจบภารกิจ

 

คฤหาสน์ที่ไร้ซึ่งสิ่งเหนือธรรมชาตก็ไม่ต่างจากบ้านร้างธรรมดาๆ

Chandra เดินเข้าประตูไปเป็นคนแรก ตามมาด้วย Adeline และ Arlinn ส่วน Teferi ก็เดินปิดท้ายอย่างสบายๆ เหมือนกับเขาไม่ได้เป็นกังวลกับเหล่าวิญญาณร้ายมาแต่แรก

ทั้งสี่คนเดินขึ้นไปชั้นสองของคฤหาสน์ เสียงลั่นเอี๊ยดอ้าดของบันได และยังคงมีเสียงโทนต่ำๆ หลอนหูอยู่หลังประตูพังๆ บานหนึ่ง

Chandra กำลังจะผลักประตูบานนั้น ก่อนที่ Adeline จะเข้ามาขวาง Chandra

“ฉันเปิดให้” Adeline พูดขึ้น “อยู่หลังฉันไว้ จะปลอดภัยกว่า”

มันชวนให้อดคิดไม่ได้ ว่า Adeline คือตัวละครจากนิยายเรื่องไหนหรือเปล่า มาดของเธอแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญก็จริง เมื่อรวมกับท่าทางการถีบประตูของเธอ ก็ยิ่งขับความเท่ของเธอให้มากขึ้นไปอีก

ทว่า ภายในห้องนั้น Kaya ก็ยืนอิงผนังแบบสบายๆ อยู่ข้างๆ วิญญาณอีกร่างหนึ่ง, Kaya โค้งคำนับต้อนรับแขกปลอมๆ ของเธอ

“นี่แหละ ชายที่พวกคุณตามหา” Kaya พูดขึ้น “ง่ายๆ สบายๆ”

Teferi ตอบไปอย่างอารมณ์ดีว่า “เร็วกว่า 5 นาทีที่ขอมาอีกนะ Kaya”

“แหม่... ช่างแซวนะ” Kaya ตอบ “ไม่ใช่ว่าลุงแอบลดเวลาตอนเดินขึ้นมาเหรอ?”

“ถ้ามันทำง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ” Teferi ยิ้มตอบ ก่อนที่จะหลบหน้า และรอยยิ้มของเขาก็ถูกลบเลือนจากความทรงจำในอดีตของเขา

เขาหันกลับไปมองวิญญาณร่างเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน

ร่างของชายที่อายุราวๆ 30, โครงกระดูกที่น่าจะเป็นของเขา ยังหลงเหลือและกองปะปนอยู่ที่ซากปรักหักพังของคฤหาสน์หลังนี้, ดูได้จากเครื่องแต่งกายที่ไม่ต่างกันกับร่างวิญญาณของเขา

 


Dennick, Pious Apprentice
 

“เชิญก่อนเลย” Teferi ผายมือไปยังร่างวิญญาณ

Arlinn เดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ก็ต้องแอบบังคับตัวเองไม่ให้เผลอไปของจับมือทักทายกับวิญญาณร่างนี้

“คุณคือ Dennick ใช่มั้ย? ฉันชื่อ Arlinn Kord... ฉันเคยเป็นคนรู้จักกับพ่อของคุณ” Arlinn แนะนำตัวเอง

“พ่อของผมงั้นเหรอ? เขาส่งคุณมาหาผมรึเปล่า?” Dennick ในร่างวิญญาณตอบด้วยดวงตาที่เบิกโพลง

“ฉันพูดได้ไม่เต็มปากหรอกนะ... พ่อของคุณเขาเสียไปแล้ว... ฉันจำเป็นต้องส่งเขาใปสู่สุขคติ...” Arlinn เลือกที่จะพูดความจริง... แม้ความจริงนั้นมันจะดูแย่แค่ไหนก็ตาม “แต่พ่อของคุณเลือกที่จะพูดชื่อของคุณเป็นคำสุดท้าย”

“ไปสู่สุขคติ?” วิญญาณนั้นขยับนิ้วไปมา “หมายถึง... เขากลายเป็นผีดิบงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้วล่ะ...” Arlinn ตอบ “ฉันไม่ขอลงรายละเอียดเรื่องนั้นแล้วกัน... ที่พวกเรามาที่นี่ เพราะเรามาตามหาบางอย่างที่ตระกูลของคุณกำลังปกป้องอยู่-”

“อ๋อ ไม่ไช่มาเพื่อพบปะกันเฉยๆ สินะ” Dennick ตอบ

“เกรงว่าจะไม่” Arlinn ตอบ “ถ้าคุณรู้อะไรก็ตาม เกี่ยวกับกุญแจแสงจันทร์สีเงิน (Moonsilver Key) ช่วยบอกพวกเราที... ตอนนี้ ราตรีของ Innistrad ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ เราต้องการกุญแจนั่น เพื่อไปใช้กับพิธีทางเวทย์มนต์”

“ผมก็คิดว่าขนกันมาขนาดนี้ นึกว่าจะมาพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยเสียอีก” Dennick ตอบ พลางขยับนิ้วไปมา “ผู้คนมากมายอยากได้กุญแจนั่น... แต่ผมก็ไม่เคยเห็นซักครั้ง... พ่อผมมักจจะบอกว่าผมไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของ Betzold

“งั้นเขาก็แกล้งเซ่อแล้วล่ะ” Arlinn ตอบ “คุณลองดูสิ... ตอนนี้คุณอยู่ในคฤหาสน์ Betzold เหมือนๆ กับคนอื่นในตระกูล... และถ้าคุณให้เบาะแสของกุญแจนั้นมา ฉันว่าคุณจะยิ่งเป็นเกียรติกับตระกูลมากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก”

“ก็คงอย่างนั้นมั้ง” วิญญาณของ Dennick ถอนใจออกมา “เริ่มยังไงดี... คือผมก็ตามหามันมาตั้งแต่ที่ได้ยินเรื่องราวของมัน... แต่ก็... เหมือนว่าเราจะไม่ได้เก็บมันไว้อีกแล้ว... น่าจะตั้งแต่สมัยคุณปู่ทวดเลยล่ะมั้ง เขาเอากุญแจนั่นไปฝากไว้กับ Vampire ตัวหนึ่ง... เห้อ... ฟังดูงี่เง่าใช่มั้ยล่ะ?”

Kaya แตะจมูกของเธอ, Chandra สูดหายใจเข้า กำหมัดก่อนที่จะถามออกไป “เอ่อ... พอจะบอกพวกเราได้มั้ย ว่า Vampire ตัวไหน”

“ถ้าผมบอกไป... พวกคุณจะปลดปล่อยให้ผมไปสู่สุขคติได้มั้ยล่ะ” Dennick ตอบ

“ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ” Arlinn ตอบ “ซึ่ง... การหลับอย่างสบาย โดยไร้กังวลถึงราตรีที่วิปริตของ Innistrad ก็คงดีกว่า... ใช่มั้ยล่ะ?”

วิญญาณร่างนั้นแหงนมองขึ้นไปเบื้องบน... ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมา Vampire ตระกูล Markov... คนที่เป็นเจ้าชายของตระกูลนั่นแหละ... เขาเป็นคนเอามันไป... ว่าแต่ พ่อของผมเขาได้บอกมั้ย ว่าเขาคิดถึงผมน่ะ?”

“เอาแล้วไงล่ะ... รู้สึกไม่ดีชะมัด” Chandra พูดระหว่างที่เดินออกมา ทิ้งให้ Arlinn และ Kaya อยู่กับ Dennick

Dennick เขาแค่อยากได้คนคุยด้วย... แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

 

- ความหวังจากอดีต -

 

Innistrad ซ่อมสร้าง... เช่นเดียวกับเหล่า Vampire

ยิ่งพวกมันสร้างความวิบัติมากเท่าใด ท้องใส้ของ Arlinn ก็ยิ่งร่ำร้องให้ขย้ำพวกมันมาเป็นเหยื่ออันโอชะ... แม้ว่าเธอจะเกลียดพวก Vampire มากเท่าใดก็ตามที

เหตุการณ์ Tavails ที่ส่งผลต่อทุกๆ สิ่งมีชีวิตใน Innistrad

ก็เปลี่ยนให้นักล่าแห่งราตรีกาลพวกนี้ ต้องมาร่วมมือกับมนุษย์เพื่อแก้ไขผลกระทบจากการรุกรานของปลาหมึกอวกาศ

 

สำหรับ Arlinn แล้ว... เธอก็หวังลึกๆ ให้มันกลับไปเป็นแบบนั้น

ในขณะที่ Chandra และ Kaya ไม่ใคร่จะเห็นด้วยกับการเดินเข้าสู่รังของอสรพิษอย่างคฤหาสน์ของตระกูล Markov

แต่พวกเธอก็ไม่มีตัวเลือกอะไร... ถึง Arlinn จะเข้าใจว่าที่แห่งนี้ เคยเป็นหนึ่งในสถานที่ ที่ทำให้ผู้คนได้พบกับความหวัง มันก็ยากเกินที่จะอธิบายให้ผู้มาเยือนคนอื่นๆ ได้เขาใจเหมือนกับเธอ

ที่สำคัญ การก้าวข้ามความกระหายจากสัญชาตญาณดิบนั้น เป็นเรื่องที่ Arlinn เองเข้าใจดี... ถึงแม้เธอจะไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่... แต่เธอก็นับถือสิ่งที่ Sorin Markov ทำไว้กับดาวดวงนี้

และเธอก็นึกถึงความทรงจำที่ก่อประกายแห่งความหวังที่แท้จริง ทดแทนความหวังอันลวงตาอย่างเจ้ากวางสีเผือก...ความหวังที่แท้จริงจากอัครทูตสวรรค์ Avacyn

ในขณะที่เพื่อนร่วมทางของ Arlinn ไม่ได้หยุดผีเท้า

เธอกลับหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์ตระกูล Markov

Arlinn หยุดมองที่สัญญะศักดิ์สิทธิ์แห่ง Avacyn ที่ถูกไม้เลื้อยบีบรัดจนบางส่วนเสียหายไป... เธอเริ่มสวดภาวนา

 

“ข้าแต่เทวา... โปรดปกป้องพวกเรา ให้ผ่านพ้นราตรีนี้”

 

ก่อนที่จะมีเสียงแทรกเข้ามา... น่าจะเป็น Adeline ที่ร่วมสวดกับเธอ

เพียงไม่นานก็ตามมาด้วย Teferi ที่เหมือนจะพยายามสวดตามเสียมากกว่า

ส่วน Chandra ก็สวดแบบคริอมจังหวะ ตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่เธอก็พยายามเท่าที่เธอจะทำได้

ก่อนที่ Kaya จะเดินกลับมาถึง ในตอนที่บทสวดกำลังจะจบลง

พวกเธอส่งยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่จะเดินเข้าไปในคฤหาสน์...

ไม่มีผู้ใดคลางแคลงสงสัย ว่าเหตุใด Arlinn ถึงสวดภาวนากับอัครเทพธิดาที่ไม่สามารถได้ยินเธออีกแล้ว

 

- ความหวังแห่งอนาคต -

 

ใครหน้าไหนที่บอกว่าการจะมาที่คฤหาสน์ตระกูล Markov ก็แค่เดินข้ามสะพาน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกขี้โม้

เพราะในสภาพการณ์ปกติ สะพานหินแสนแคบ กับทิวทัศน์ของหุบเหวเบื้องล่าง ก็ชวนให้ท้องใส้ปั่นป่วนมากพอแล้ว

แต่หลังจากเหตุการณ์ Travails นั้น สะพานที่เคยทอดยาวไปยังคฤหาสน์ กลับกลายไปเป็นแท่นหินที่กระจัดกระจาย ลอยคว้างต้านทานแรงโน้มถ่วง

และทางเดียวที่จะเข้าถึงคฤหาสน์ได้ในตอนนี้ คือการกระโดดไปมาระหว่างแผ่นหินพวกนี้เท่านั้น

และเมื่อเข้ามาถึงภายใน... สภาพของมันก็เละเทะไม่ต่างจากด้านนอก

ถ้วยทองที่ถูกฝุ่นจับจนหนาเตอะ, ส่วนของชุดเกราะที่หล่นอยู่บนพื้นก็ไม่ต่างกับก้อนหินที่เกะกะเวลาเดิน, ภาพที่ถูกแขวนอยู่ตามผนัง ถ้ามันไม่ขาด ก็กลายเป็นคราบดำๆ... และสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ... มันไม่มีกลิ่นของความตาย... ไม่มีกลิ่นของเลือด... ไม่มีกลิ่นใดๆ เลย

 

“เอ่อ... มันพอจะเป็นไปได้มั้ย ว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลย?” Chandra ถามขึ้น

“เป็นไปได้ยาก” Kaya ตอบ “มันอาจจะดูรกร้าง... แต่มันไม่ได้ถูกทิ้งไว้เปล่าๆ แน่” Kaya ชี้ไปที่โคมไฟระย้าเหนือหัว “ยังมีคนคอยจุดเทียนให้แสงอยู่เลย”

“อาจจะเป็นพวกผีดิบรับใช้เฉยๆ ก็ได้นะ” Adeline ตอบ “แต่ตามที่ Kaya พูด... พวกเราต้องใช้ความระมัดระวังในการสำรวจที่นี่”

“ถ้าปู่ลุงผีดูดเลือดไม่อยู่ที่นี่ เราแอบเอากุญแจไปเลยได้มั้ย” Chandra ถามขึ้นมา

“ฉันก็แอบหวังให้เขาไม่อยู่เหมือนกันแหละ” Arlinn ตอบ “แต่ถ้าเขาอยู่... ฉันก็เชื่อว่า เราคงพอจะบอกเหตุผลให้เขาเข้าใจได้แหละน่า”

และแล้วพวกเธอก็เดินผ่านโถงที่เต็มไปด้วยแท่งศิลา ทว่ามีแท่งศิลาอันหนึ่ง ที่มันแตกต่างไปจากอันอื่นๆ

มันมีร่องลึกขนาดเท่ามนุษย์ พร้อมกับศิลาอันอื่นๆ ที่แหลมคมจอไปที่ร่องหินอันว่างเปล่าอันนั้น

คราบเลือดที่แห้งกรังติดอยู่ตามขอบศิลาที่หักและยังคงคมอยู่

“ฉันไม่ค่อยชอบมันเลยแฮะ” Adeline พูด

“ผมก็เหมือนกัน” Teferi เสริม

“Sorin คงพอจะให้คำตอบได้... อาจจะไม่ใช่แค่เราที่มาตามหากุญแจ” Arlinn พูดขึ้น

“ถ้าเขาอยู่อ่ะนะ” Chandra แทรกขึ้นมา

 


Sorin Markov
 

แต่แท้จริงแล้ว... Sorin อยู่ที่นี่มาตลอด เขาแค่เลือกที่จะหลบเลี่ยงพวกเธอก็เท่านั้นเอง...

Arlinn เริ่มไม่สบอารมณ์ และไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เธอจะเอากุญแจนั่นมาให้ได้... เพราะเธอรู้ดีว่า Tovolar กำลังจะทำอะไร... และเธอต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วกว่าเขา

“ถ้า Sorin ยังอยู่ที่คฤหาสน์นี่ เขาก็น่าจะอยู่ที่ห้องโถง” Arlinn พูดขึ้น

“งั้นก็ไม่ไกลแล้วล่ะ” Kaya เสริม “ตามปกติแล้ว ห้องโถงก็จะมีรูปคนในตระกูลแขวนๆ อยู่... ซึ่งพวกเราก็เจอรูปเต็มไปหมด”

Kaya พูดได้ดี แม้ว่ารูปบุคคลส่วนใหญ่จะเสียหาย และเหลือเพียงกรอบรูปเท่านั้น แต่ด้วยกลุ่มของค้างคาวที่อยู่ตรงซุ้มประตู มันก็เพียงพอที่จะเป็นเบาะแส ที่จะบอกว่าประตูพังๆ ด้านหน้าของพวกเขา คือประตูที่จะพาไปยังห้องโถง

Arlinn แปลงกายเป็นร่างหมาป่าเพื่อกระแทกเปิดประตูบานนั้น ก่อนที่จะกลายร่างกลับมา

Adeline แอบมอง Arlinn อยู่ แต่ Arlinn ก็หันกลับมาส่งยิ้มให้

“ไม่ต้องกลัวน่า ฉันฉีดยาแล้ว” Arlinn พูดติดตลก เพื่อหวังให้บรรยากาศผ่อนคลายลงมาบ้าง... แม้ว่าเธอจะรู้ตัวเองดี ว่าเธอเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ในตอนที่เจอกับ Tovolar

กระนั้น ณ ช่วงเวลานี้ Arlinn ก็คือ Arlinn

แผนการของเธอดำเนินไปอย่างที่ใจคิด... เพราะนี่คือห้องโถงของคฤหาสน์... และ Sorin ก็นั่งอยู่ที่บัลลังก์เก่าๆ ที่กลางห้อง

Sorin ดูเหมือนจะไม่สนใจที่ประตูบ้านของเขาถูก Arlinn พังมัน สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หนังสือเล่มหนึ่งในมือ... ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร สภาพของมันเหมือนกับวารสารเก่าๆ มากกว่า

แสงจากดวงจันทร์ส่องกระทบผิวสีเทาๆ ของเขา และช่วยขับให้เห็นว่าในห้องนั้น... มีสภาพเละเทะมากเพียงใด

แม้ว่า Sorin จะไม่ได้ละสายตาจากหนังสือในมือ แต่ Arlinn ก็ได้กลิ่นความไม่สบอารมณ์ของเขา

“แจ้งเหตุที่พวกเจ้าบุกรุกเข้ามาที่นี่ ก่อนที่ข้าจะไล่เจ้าออกไปทั้งหมด” เสียงสุดอหังการดังออกมาจากปาก Sorin

“Sorin” Teferi ก้าวออกมา ก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยความเคารพ หาใช่ความหวาดหวั่นใดๆ ไม่ “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง, พวกเรามีเรื่องอยากจะขอร้องหน่อย, พวกเราจะพยายามอธิบายให้กระชับที่สุด”

Sorin เหลือบมองมาจากขอบของหนังสือ ก่อนที่จะตอบกลับ “ข้ารู้ดีว่าไม่ควรคาดหวังกับคำว่า “กระชับ” ของเจ้า, บอกเหตุผลมา เดี๋ยวนี้!”

Teferi ยักไหล่ขึ้น เหมือนเขาจะเหนื่อยหน่ายกับความพยายามผูกมิตรแล้ว “พวกเรามาตามหากุญแจ Moonsilver, ราตรีของ Innistra-”

ไม่! Sorin ปิดหนังสือในมือทันควัน

“หมายความว่าไงนะ?” Chandra โพล่งขึ้นมา “นี่เราตามหามันมาตั้งนาน, ปู่จะไม่ฟังกันหน่อยเรอะ?”

Sorin จ้องเขม็งมาที่ Chandra ซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้เธอหยุดพูด

ดวงตาแห่งนักล่าของ Sorin มันทรงพลัง แต่มันก็เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างหาตัวจับได้ยาก


 

 

Arlinn คุ้นเคยกับเหล่า Vampire ดี เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่า ไม่มี Vampire ตัวไหนที่เหมือน Sorin... ถ้าเปรียบเทียบก็คือหมาบ้าน กับหมาป่านั่นแหละ

ทุกๆ ท่วงท่าของ Sorin ไม่ว่าจะเป็นการลุกจากบัลลังก์, การเอาหนังสือเล่มเขื่องวางลง, ทุกๆ ก้าวเดิน มันทำให้เขาแตกต่างจาก Vampire ตัวอื่นๆ จริงๆ

“ข้าไม่หวังให้อีหนูหัวร้อนอย่างเจ้ามาเข้าใจว่าข้าต้องเสียอะไรเพื่อดาวดวงนี้บ้าง” Sorin ตอบ “ถ้าตระกูลของข้า...” Sorin ข่มเสียงและ กัดฟันพูด “ถ้าพวกนั้นอยากจะเสพสมราตรีนิรันดร์กาล... ข้าพยายามมามากเกินพอแล้ว... ปล่อยให้พวกนั้นได้ลิ้มเหยื่อรสอันโอชะไปซะ!”

“ถ้าท่านจะไม่รับฟังเธอ ก็ฟังผมหน่อยเถอะ” Teferi ยกมือขึ้นราวกับจะปรามอารมณ์ที่ครุกรุ่นของ Sorin ลง Innistrad คือครอบครัวของท่านนะ Sorin, พวกเราทราบดี ว่าท่านเหนื่อยมามากพอแล้ว... แต่สิ่งที่พวกเราอยากใด้จริงๆ ก็มีเพียงกุญแจ... เพียงเท่านั้น ที่เหลือพวกเราจะจัดการต่อเอง, Arlinn ไม่อยากให้เกิดราตรีนิรันดร์ เหมือนๆ กับท่านนั้นแหละ”

“งั้นหรอกเหรอ?” Sorin ตอบ “งั้นช่วยกรุณาพล่ามสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำเพื่อดาวดวงนี้ให้ข้าฟังหน่อย, เอาสิ ข้าฟังอยู่” Sorin พูดพลางเดินเข้ากระชับพื้นที่ ดาบที่แขวนอยู่ที่เอวของเขาถูกดันออกมาจากฝัก

สัญชาตญาณของ Arlinn ร่ำร้องให้เธอแปลงกายเป็นหมาป่า

แต่ก็ไม่ เธอยังอยู่ในร่างเดิม “ฉันอาจจะไม่รู้เรื่องของท่านทั้งหมดหรอกนะ, แต่ไม่กี่ปีที่ฉันได้เดินทางไปดาวอื่นๆ ได้พบปะผู้คน... ฉันว่าท่านน่าจะเข้าใจสถานการณ์นี้... ท่านเป็นผู้สร้าง Ava-”

ยังไม่ทันจบนามที่ไม่ควรเอ่ย ดาบของ Sorin ก็ตัดผ่านอากาศ

สัญชาตญาณของ Arlinn ช่วยปกป้องเธอจากความตายตรงหน้า

เธอยกแขนขึ้นมาปัดป้องดาบเล่มนั้น ทว่าคมดาบของมันก็ฝังเข้าไปในเนื้อของเธอ

เลือดหลั่งไหลลงเต็มพื้น ดวงตาของ Arlinn เปลี่ยนเป็นสีดำ เขี้ยวของเธอเริ่มยาวโง้งออกมา

“แก...” Sorin คำรามในลำคอ “แกไม่มีสิทธิ์ จะเรียกชื่อของเธอ!”

“คุณลืมแล้วรึไง ว่าคุณสร้างเธอ (Avacyn) ขึ้นมาเพื่ออะไร?” Arlinn ตอบกลับ

Chandra เปิดพลังของเธอ ไฟลุกท่วม เธอเพียงรอสัญญาณจาก Arlinn... พวกเธอก็พร้อมจะเข้าโจมตี Sorin ทันที

“เราต้องการเทวทูต, เราต้องการความหวัง, เราต้องการศรัทธา, เราต้องการแสงแห่งวัน และเราต้องการกุญแจนั่น”

“ออกไปซะ!” Sorin ตะโกนออกมา เสียงของเขากึกก้องสะท้อนไปมาในห้องที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง

“ไม่ ถ้ายังไม่ได้กุญแจ” Arlinn ยืนยันคำตอบของเธออย่างหนักแน่น “บางทีคุณอาจจะลืมสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว... แต่ฉันไม่”

Sorin ที่ฉุนขาด ตวัดดาบของเขามายัง Arlinn อีกครั้ง เธอทำได้เพียงยกแขนขึ้นปัดป้อง

 

แต่ฉับพลัน ประกายแสงสีทองได้สาดส่องเข้ามา พร้อมกับขนนกที่ปลิวไสว และเคียวสองมีที่มีหัวเป็นรูปนกกระยาง ได้เข้ามาขวางทิศทางของดาบนั่นไว้

Sorin ถอยออกมาเพื่อตั้งหลักจากผู้บุกรุกอีกราย

 

แม้ว่าจะเป็นยามราตรีอันมืดมิด

มันหนาวเหน็บ ราวกับจะเป็นจุดจบของ Innistrad

แต่ทันทีที่แสงสีทองนั่น ทอประกายเข้าสู่ห้องโถงแห่งนี้ ความหวังก็ได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง... ความหวังที่มาพร้อมกับเทวทูตที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า Arlinn

Avacyn ไม่อาจได้ยินเสียงเพรียกจากบทสวดภาวนาของมนุษย์ได้อีกต่อไป

แต่ Sigarda ได้ยิน

 

Sorin Markov เสียงก้องกังวาลของ Sigarda บ่งบอกว่าเธอเหนือกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วๆ ไป “เจ้าตกต่ำลงมาก... เจ้าออกจากการถูกผนึกในศิลานั่น เพียงเพื่อสร้างความเคืองใจให้แก่ผู้มาเยือนงั้นหรือ”

 

บทสนทนาแห่งความสมเพช... ความสมเพชที่ไม่ควรค่ากับ Vampire อายุนับร้อยปี

Sorin ยกดาบขึ้นชี้ไปที่ Sigarda “แกจะให้ข้าทำอะไร? ในเมื่อเจ้ารู้ดีไปเสียทุกอย่าง เอาสิ อธิบายมา ไม่เช่นนั้น ข้าจะจัดการพวกแกให้หมดทุกคน!”

Sigarda หรี่ตาสีทองของเธอลง... แต่ยังคงจับจ้องไปที่ Sorin เช่นเดิมArlinn Kord, ศรัทธาของเจ้าคือสิ่งที่เรียกข้ามาที่นี่, ด้วยเป้าหมายที่ตั้งมั่นในใจของเจ้า... เจ้าจะพบกับกุญแจ Moonsilver ในห้องส่วนตัวของ Sorin ที่ชั้น 3... พวกเจ้าไปซะ, ส่วนข้า ยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับ Sorin เกี่ยวกับงานสรรค์สร้างของเขาเมื่อคราก่อน”

 


Sigarda, Champion of Light
 

Chandra และ Kaya พุ่งไปยังบันไดทันที ก่อนที่ Chandra จะตะโกนไล่หลังมา “ขอบคุณค่า Sigarda!”

Teferi โค้งคำนับก่อนที่จะเดินตามไป

 

เหลือเพียง Adeline และ Arlinn ที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น แม้ Sorin จะปรากฏใบหน้าปีศาจจากความเกรี้ยวกราดของเขาออกมาก็ตาม...

ความกลัวไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ในช่วงเวลานี้ มันไม่ใช่เวลาที่เหล่าผู้ศรัทธาจะยืนหยัดเพื่อวีรสตรีของพวกเธอหรอกหรือ?

และเพียงทั้งคู่สบตากัน Adeline ก็ยกโล่ของเธอขึ้น

“ไปซะ!” Sigarda ร้องออกมา “ถ้าพวกเจ้ายังศรัทธาในข้าอยู่ รีบไปซะ!”

Arlinn ยังยืนอยู่ เธออึดอัด เพราะเธออยากจะช่วยเหลือ ก่อนที่ Adeline จะดึงแขนของ Arlinn “เราอยู่ก็เกะกะท่านไปแปล่าๆ ไปกันเถอะ”

แม้ว่า Adeline จะรู้สึกไม่ต่างจาก Arlinn ก็ตาม แต่การฝืนอยู่ตรงนี้ ก็คงเป็นอย่างที่ Adelin พูด... แม้เหตุผลจะฟังดูดี แต่ก็ไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด

 

ทั้ง Arlinn และ Adeline ขึ้นไปยังชั้นสอง ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ใส่ใจเสียงของการปะทะที่ชั้นล่าง... พวกเธอทำได้แค่เชื่อมั่นใจพลังแห่งศรัทธาเท่านั้น

 

เป็น Chandra ที่พบห้องพักส่วนตัว และ Teferi พบเข้ากับกุญแจ Moonsilver ที่อยู่ในโถของรูปปั้นคล้ายนางฟ้า

แต่มันไม่มีส่วนของศีรษะอีกแล้ว... คงเป็น Sorin ที่ตัดมันออกไป... กระนั้น ปีกหรือชุดเกราะก็ไม่ยากที่จะเดาว่ามันเป็นรูปปั้นของใคร

รูปปั้นของ Avacyn ที่ไร้ศีรษะ ตั้งอยู่ใต้รูปของ Sorin ในวัยเด็ก กับปู่ของเขาในชุดหรูหราประจำตระกูล

 

 

Arlinn เก็บกุญแจนั้นไว้ เธอสวดภาวนาเป็นครั้งที่สองของวันแล้ว... ทว่า ในครานี้ เธอขอพรให้ Sigarda ปลอดภัย, ขอให้พวกเขานำกุญแจกลับไปที่เทศกาล Harvesttide ได้ทันเวลา

ถึงมันจะดูแปลกๆ ที่เธอสวดขอพรให้นางฟ้าปลอดภัย และยิ่งแปลกมากขึ้นไปอีก ที่จะพวกเธออยากได้เวลามากขึ้น

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใน Innistrad ก็ตาม - มันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้รอด, เพื่อคงอยู่ และเพื่อให้แสงตะวันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ทอแสงอีกครั้ง

 

 

 

Magic Story By K. Arsenault Rivera