- ความทรงจำ -


 

“ผืนป่านี้ เป็นของพวกเรา” Tovolar พูดขึ้นมา

เขาเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนัก แต่เขาเลือกที่จะคุยกับ Arlinn

อาจจะเป็นเพราะมันเป็นการล่าครั้งแรกของเธอก็เป็นได้

 

ย้อนไปในตอนนั้น Arlinn ยังคงเป็นสาวมอมแมมที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล และคราบสกปรกของคราบเลือด และดิน

ก่อนที่เธอจะต้องเริ่มหัดถักผมตัวเอง ก่อนที่ความมอมแมมพวกนี้จะทำให้การใช้ชีวิตของเธอวุ่นวายมากขึ้น

“แล้ว... ชาวบ้าน Kessig ล่ะ?” Arlinn ถามด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น

Tovolar ส่งเสียงครืดคราดในลำคอ

เขาจ้องมาที่ Arlinn และ Arlinn ก็มองกลับไปที่เขา ก่อนที่เธอจะกอดเข่าของเธอเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกนั้น

“ฉัน... แค่อยากรู้ความเห็นของคุณน่ะ”

 

Arlinn ที่ร่างชุ่มไปด้วยเลือดเหม่อมองไปยังหมู่บ้าน Kessig...

หมู่บ้านที่เธอจากมา และไม่กล้าจะกลับไปที่นั่นอีกแล้ว

บทสนทนาระหว่างเธอกับพี่เลี้ยงอย่าง Tovolar เมื่อครู่ ก็ทำให้เธอเองรู้สึกสับสน... ว่าเหตุใดเธอถึงอยากจะปกป้องหมู่บ้านที่เธอกลับไปไม่ได้

Arlinn กลับสู่ร่างมนุษย์ โดยที่มี Tovolar อยู่ข้างๆ...

เพียงแค่นี้มันก็ทำให้เธออุ่นใจมากขึ้น สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวลที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าความคิดถึงครอบครัวที่เธอจากมาเสียอีก

 

สำหรับหมู่บ้าน Kessig แล้ว Tovolar เป็นดั่งตำนานที่ผู้คนต่างหวาดกลัวมาตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

กลัวจากสิ่งที่เขาทำ... หรือจากสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ... มนต์ดำ หรือเวทย์มนต์บ้าบออะไรก็ตามที่เขาทำมันไม่ได้ ก็ถูกผูกรวมเข้าไปเป็นเรื่องเล่าขานของเขา

 

แต่พอรุ่งเช้ามาเยือน Arlinn ตื่นขึ้นมาพร้อมกับผ้านวมอุ่นๆ ที่ห่มร่างเธอ และมี Tovolar ร่างยักษ์นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ เธอ เพื่อจะพูดคุยกับเธอถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา

คำถามที่ Arlinn ถามเป็นสิ่งแรก คือเธอได้ฆ่าใครตายไปหรือเปล่า

คำตอบของ Tovolar คือยังไม่มี...

แล้วทั้งคู่ก็จบบทสนทนาเพียงเท่านี้ เหลือเพียงความเงียบที่ชวนอึดอัด

ทว่า เพียงแค่ Tovolar ลุกขึ้นยืน แล้วออกเดิน Arlinn ก็เดินตามเขาไปโดยไม่ต้องรอคำเชิญชวนใดๆ

 

- เสียงเพรียก -


 

Arlinn เปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าก่อนที่เธอจะตั้งสติได้เสียอีก

เธอวิ่งฝ่าผืนป่าของ Kessig ไป เสื้อผ้าของเธอฉีกขาดเป็นริ้วๆ จากการแปลงกายของเธอ

ฝูงหมาป่าของเธอออกวิ่งนำหน้า Arlinn โดยเฉพาะเจ้า Streak

 

เสียงหอนดังเสียดแทงทะลุความเงียบงันของป่า... ความเงียบงันที่ไม่เคยมีอยู่จริง

มันเพียงแค่ดังจนกลบเสียงร้องของเหล่าแมลง และสัตว์ราตรีทั้งหลายแหล่... เสียงที่ Arlinn รู้จักมัน... เสียงที่เธอรู้จักต้นเสียง

 

และก็แน่นอน... เขาก็รู้ว่าเธอกำลังมา

Arlinn ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงหวังให้อะไรๆ มันเปลี่ยน... เธอไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเธอจะเจออะไรเมื่อได้พบกับ Tovolar อีกครั้ง

 

- กรงกระจก -


 

“การล่าคือตัวตนของพวกเรา” Tovolar บอกกับ Arlinn

Arlinn ไม่ชอบใจกับสิ่งที่เธอได้ยินนัก... และเมื่อรวมกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว มันยิ่งทำให้เธออดกังวลไม่ได้...

ในช่วงเวลาที่ดวงตะวันกำลังฉายแสงแบบนี้ ไม่มีเงามืดใดๆ มาปิดบัง มันเป็นช่วงเวลาที่คนในหมู่บ้านเริ่มออกมาทำภารกิจของตนเอง...

และถ้าพวกเขามาเห็นเธอนั่งอยู่กับ Tovolar... เธอก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมองเธออย่างไรอีก

“แต่ถ้ามันเป็นเพียงการล่า... ผู้คนไม่ควรจะต้องหวาดระแวงสิ” Arlinn ตอบกลับ “เราไม่จำเป็นต้องสังหารคนบริสุทธิ์”

Arlinn มีเหตุผลที่ดี... เหมือนๆ กับชาวบ้าน Kessig

การลากร่างของเพื่อนร่วมหมู่บ้านออกมาจากป่าในทุกๆ เช้า เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์นัก... โดยเฉพาะในคืนหลังจากพระจันทร์เต็มดวง

คืนที่เหล่ามนุษย์หมาป่าจะออกสร้างปัญหาให้กับเหล่าพรานล่าสัตว์... นี่ยังไม่รวมถึงพวกวิญญาณร้ายที่วนเวียนอยู่แถวๆ ป่าอีกเช่นกัน

เหล่าพรานของ Kessig จะมาหาพ่อของ Arlinn เพื่อมองหาอาวุธ และอุปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับการล่าสัตว์ และป้องกันตัว

พวกเขาก็มักจะมาพร้อมกับเรื่องเล่าจากเมื่อคืน... ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายที่ร่างสูงใหญ่ราวกับมนุษย์สองคนผูกติดกัน มันมีพละกำลังระดับที่ฉีกร่างของสัตว์เป็นๆ ได้ง่ายดายราวกับคนแก่ฉีกกระดาษ

เหล่าพรานทั้งหลายต่างยกให้อาวุธทั้งหลาย สำคัญไม่ต่างจากสัญญะแห่ง Avacyn เลย

แม้จะมีเรื่องราวที่แสนจะน่ากลัว แต่พ่อของ Arlinn ก็คอยปลอบประโลมลูกสาวของเขา ด้วยคำมั่นสัญญาว่าเขาพร้อมจะปกป้องเธอ... เช่นเดียวกับเหล่าพรานในหมู่บ้าน

กระนั้น สำหรับ Arlinn แล้ว มันกลับทำให้เธอเหนื่อยหน่ายกับความน่าเบื่อ และเข้มงวดของหมู่บ้าน Kessig

ทุกๆ เรื่อง กลายเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเธอไปเสียทั้งหมด...

อยากไปเล่นในป่าก็ไปไม่ได้

อยากเล่นขลุ่ยเสียงดังเกินไปก็ไม่ได้

จะทักทายคนแปลกหน้าที่เดินทางข้ามมายังหมู่บ้านของเธอก็ไม่ได้

เวรยามและนางฟ้าคือสิ่งที่ทำให้พวกเธอปลอดภัย แต่มันก็ทำให้ Arlinn ติดอยู่ในโลกใบเล็กๆ และน่าเบื่อแห่งนี้

สิ่งที่หมู่บ้านของเธอพร่ำบอกกับโลกภายนอกคือ “พวกเราไม่ไว้ใจแก ออกไปซะ”... และเธอก็ไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใด เราถึงไม่ต้อนรับคนอื่นๆ

 

และเพียงเสียงหอนของหมาป่าล่องลอยมา มันก็ทำให้ Arlinn รู้สึกถึงสิ่งมีมากกว่าโลกใบเล็กๆ ที่หมู่บ้านของจะอนุญาตให้เธอทำได้

เสียงที่ทำให้เธอผ่อนคลาย และมีความสุข

เสียงที่พาเธออกไปใช้ชีวิตนอกกำแพง ปราศจากพันธะของความเชื่อ ไร้ซึ่งความกลัว และเต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง

และเพียงค่ำคืนนั้นมาเยือน เธอก็ออกจากหมู่บ้านไป

 

Tovolar มองมาที่เธอ และถามเธอว่า “นั่นคือสิ่งที่เธอคิดจริงๆ เหรอ”

“ใช่” Arlinn ตอบจากหัวใจของเธอ

Tovolar ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะออกเดิน... โดยที่ Arlinn เดินตามเขาไปห่างๆ

 

- สัญชาตญาน -


 

การมองโลกของ Arlinn ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากการล่าครั้งแรก

เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าร่างของมนุษย์นั้นเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตขนาดไหน

ดวงตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหนอนที่ซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ได้

จมูกของมนุษย์ไม่สามารถได้กลิ่นเลือดในอากาศที่อยู่ห่างไปกว่าสองกิโลได้

และลิ้นของมนุษย์ ก็ไม่สามารถลิ้มรสของยามราตรีได้...

แค่เพียงเธอเปลี่ยนร่างไปเป็นหมาป่า ทุกสิ่งที่กล่าวมาก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ

และในตอนนี้ เธอก็รับรู้แล้วว่า Tovolar อยู่ไม่ไกล, เธอรับรู้กลิ่นของเขาก่อนที่ดวงตาของเธอจะเห็นเขาเสียอีก...

และมันก็บอกด้วยว่า Tovolar ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มันมีกลิ่นของคนอื่นๆ ทั้งที่เธอคุ้นเคย และก็ไม่

Arlinn ได้แต่คิดกังวลว่า Tovolar เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับอะไรอยู่?

 

และเมื่อเธอกระโจนผ่านแนวป่าออกไป ดวงตาของเธอก็เจอกับ Tovolar ยืนอยู่บนเนินดิน

Arlinn หยุดวิ่งทันที...

แววตาดุดันราวกับจะมองทะลุความมืดมิดยามค่ำคืนของเขายังคงอยู่เช่นเดิม

ล้อมรอบไปด้วยบรรดาฝูงมนุษย์หมาป่าขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับ Arlinn ในร่างหมาป่าแล้ว...

พวกเขามีขนาดใหญ่ผิดปกติไปมาก ขนาดที่ว่าหนึ่งในพวกเขาใช้โซ่ล่ามเรือแทนเครื่องประดับทั่วๆ ไปได้เลย

 

Arlinn ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ Tovolar ก่อนที่เขาจะหันหน้ามาส่งยิ้ม และทักทายกับเธอ “กลับมาจนได้สินะ”

“ฉันมาเพื่อสืบ” Arlinn ตอบ พร้อมๆ กับพยายามข่มเสียงคำรามจากสัญชาตญานหมาป่าของเธอ “พวกนี้เป็นใคร” เธอถามถึงเหล่าหมาป่าร่างยักษ์ที่ยืนข้างกาย Tovolar

 

เขาไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปหา Redtooth, นั่นทำให้ Arlinn ถึงกับขนลุกขึ้นมา

Tovolar หันมาสบตากับเธอ ก่อนที่จะเดินกลับไปที่เนินดิน... โดยไร้คำพูดใดๆ

 

- ทางแยก -


 

Arlinn รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา เมื่อกลิ่นเหม็นของซากอะไรบางอย่างล่องลอยเข้าสู่ประสาทการรับกลิ่นของเธอ

แม้ว่าเธอจะรู้ว่า Tovolar กำลังพาพวกเธอไปที่ไหน แต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้

แม้ว่าเธอจะมีสติมากพอที่จะหยุดตัวเอง แต่ความกังวลก็ตามมาหลอกหลอนเธอ... ความกังวลว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน

เธอกลับไปที่บ้านไม่ได้อีกแล้ว เธอคือหมาป่า... เหมือนกับเขา

 

เมื่อฝูงของ Tovolar ได้มาถึงเป้าหมาย Arlinn ทำได้เพียงพยายามจะกลั้นไม่ให้อ้วกเมื่อเธอเห็นภาพตรงหน้า...

แต่ความพยายามของเธอก็ทนได้ไม่นานนัก เมื่อภาพที่เธอเห็น คือซากศพของพราน 3 ร่าง

ทั้ง 3 ถูกฉีกทึ้งร่างราวกับสัตว์ขนาดเล็ก อวัยวะภายใน และซี่โครงถูกแหวะออกมาเผยโฉม

ใบหน้าของซากเหล่านั้นยังคงแววตาแห่งความหวาดกลัว, หน้าไม้ และลูกธนูเงินร่วงหล่นกระจายเต็มพื้น... ในมือของพวกเขายังกำสัญญะแห่ง Avacyn ไว้มั่น...

ยิ่ง Arlinn มองไปที่กองเลือดและเนื้อตรงนั้น มันก็ยิ่งไม่มีอะไรที่น่าพิศมัยเพิ่มขึ้นเลย สุดท้าย เธอก็เบือนหน้าหนี และอาเจียนเอาเนื้อกวางที่เธอพึ่งจะมีความสุขกับมันไปออกมาจนหมด

Tovolar คำรามเบาๆ ในลำคอด้วยความไม่พอใจ เขาเดินเข้ามาจับไหลของ Arlinn ก่อนที่จะบังคับให้เธอหันกลับไปมองกองซากกองนั้นอีกครั้ง

“ไม่นะ” Arlinn พูดอย่างตะกุกตะกัก “ฉัน... ฉันไม่อยากดู”

Tovolar ยังไม่ปล่อยมือของเขา “เธอต้องทำความเข้าใจกับสิ่งนี้”

Arlinn พยายามสูดอากาศเข้าปอดของเธอเพื่อตั้งสติ “ทำไมล่ะ... มันมีประโยชน์อะไรที่จะต้องเข้-”

Tovolar ปล่อยมือจากหัวของ Arlinn ก่อนที่จะเดินตรงไปที่กองซากนั้น “เมื่อคืน... เธอรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

Arlinn กล้ำกลืนตอบไปตามความจริง “เป็น... เป็นอิสระ... แต่ดูเหมือนมันจะไม่คุ้มค่-”

“อิสระ และเสรีภาพ คุ้มค่าเสมอ ไม่ว่าเราจะแลกมันด้วยอะไรกับมันก็ตาม” Tovolar ตอบ พร้อมกับใช้เท้าเขี่ยไปที่ซากศพ “ข้าเบื่อที่จะต้องหลบๆ ซ่อนแล้ว”

ซึ่งมันก็น่าแปลก... ที่ในครานี้ กับเป็น Arlinn สาวน้อยที่มองหาอิสระมาตลอด กลับเป็นฝ่ายที่ต้องการจะหาที่หลบซ่อน

 

- The Dire -


 

Arlinn ได้กลิ่นก่อนที่จะมองเห็นฝูงหมาป่าที่ตามเข้ามาสบทบ Tovolar เสียอีก

แม้พวกเขาจะยังอยู่ในร่างมนุษย์ แต่กลิ่นของหมาป่าก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้

ความกระหายในการล่า และภาพลักษณ์อันเลวร้ายจากมุมมองของคนในหมู่บ้านก็เช่นกัน... ที่ร่างมนุษย์ของเหล่ามนุษย์หมาป่าไม่อาจใช้มันเพื่อบิดเบือนความจริงไปได้... Arlinn เองก็รู้ดีในข้อนี้

เหล่ามนุษย์หมาป่าที่บ้างก็แต่งกายด้วยเครื่องแบบของนักรบศักดิ์สิทธิ์แห่ง Avacyn (Cathar)

บ้างก็มีสีทาตามตัว ที่คงจะไปปรากฏเป็นลวดลายเมื่อแปลงกายเป็นหมาป่า

สำหรับ Arlinn แล้ว เธอไม่คุ้นเคยกับกลุ่มมนุษย์หมาป่าพวกนี้เลย, เมื่อรวมเข้ากับประสาทรับกลิ่นที่ดีเกินไปในตอนนี้ Arlinn จำต้องคืนร่างมนุษย์ก่อนที่เธอจะหมดสติไป

นั่นอาจจะเป็นเพราะ กลุ่มมนุษย์หมาป่าหน้าใหม่ ไม่ได้มีกลิ่นของกลุ่ม Mondronen... ฝูงเก่าของ Tovolar อยู่เลย... การรวมตัวของเหล่าฝูงมนุษย์หมาป่าในครั้งนี้ คงไม่ใช่เพื่อล่าสัตว์เพียงอย่างเดียวแล้วล่ะ

 

เสียงหอนเริ่มส่งสัญญาณกันไปเป็นทอดๆ

ถ้าเป็น Arlinn ในวัยเด็ก เธอคงนั่งคุดคู้ อุดหูตัวเองรอให้มันเงียบลง

แต่ในตอนนี้มันไม่มีประโยชน์ที่จะรอให้เสียงมันเงียบลงอีกแล้ว... เมื่อสัญญาณที่มันส่งกันไปเป็นทอดๆ ออกไปคือ “ข้าอยู่กับท่าน... ข้าจะออกล่า”

 

เสียงหอนเหล่านี้ทำให้ Arlinn เองต้องข่มสัญชาตญาณของเธอไม่ให้ขานรับเสียงเหล่านี้

ดวงจันทร์ขึ้นยึดครองท้องฟ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ เหล่ามนุษย์หมาป่าเริ่มกลายร่างไปเป็นหมาป่าทีละตัวๆ

เสียงลั่นของกระดูก และกล้ามเนื้อในร่างมนุษย์ที่ฉีกขาด เริ่มเคลื่อนย้ายที่ ประสานกับเสียงหอนของเหล่าหมาป่าราวกับวงดนตรีแห่งราตรีกาล

 

Tovolar หันมาทาง Arlinn... เขาส่งยิ้มพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

เขาเดินเข้ามาหา Arlinn, เหล่าหมาป่าหอนด้วยเสียงที่แหลมสูงกังวาล จนทำให้ Arlinn หวนนึกถึงวันที่ฝูง Mondronen จะขานรับการมาเยือนของ Tovolar

“คนพวกนี้เป็นใคร?” Arlinn ถามขึ้น

“ครอบครัว” Tovolar ตอบกลับ “ฝูงใหม่ของพวกเรา”

Arlinn ขมวดคิ้วของเธอ ก่อนที่จะบอก Tovolar ไปว่า “ดูไม่ค่อยเหมือนงานเลี้ยงครอบครัวสำหรับฉันเลยนะ... เหมือนคุณกำลังเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่างมากกว่า”

 

Tovolar หัวเราะลั่นออกมา เสียงของเขาก้องไปทั่วทั้งผืนป่า

Arlinn รู้สึกได้ทันที ว่าเธอจะไม่ชอบคำตอบที่กำลังจะได้ยิน

“เตรียมตัวจะทวงของของเราคืนยังไงล่ะ” Tovolar ตอบ

มนุษย์หมาป่าร่างยักษ์ที่อยู่ข้างๆ Tovolar กลายร่างกลายไปเป็นมหาป่าที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าเดิม... มันหักต้นไม้แถวๆ นั้นมาทำเป็นไม้กระบอง “ก่อหน้านี้ มันคือผืนป่า, แต่ตอนนี้ ชั่วราตรีคือของๆ เรา”

 

 

Streak เดินเข้าไปหา Tovolar เขานั่งลงลูบหัวมัน

ส่วน Boulder ก็ใช้หัวของมันสะกิด Arlinn ราวกับจะขออนุญาตเธอเข้าไปหา Tovolar...

Tovolar” Arlinn พูดออกมาด้วยเสียงที่เป็นกังวล “ฝูงของคุณกำลังล่าอะไรกันแน่”

เสียงโค่นล้มของต้นไม้ หมาป่าหอนส่งสัญญาณกันเป็นทอดๆ

กลิ่นของเลือด และความกระหายอบอวลอยู่ในอากาศ จันทรายังคงขึ้นสูงเรื่อยๆ

Tovolar แตะจมูกของเจ้า Streak ก่อนที่จะลูบหัวของมัน... เจ้า Streak จอมซนไม่เคยที่จะนั่งเฉยๆ ได้นานขนาดนี้มาก่อน... แต่ตอนนี้ มันไม่แม้แต่จะแกว่งหางของมันในตอนนี้

Tovolar เอาหัวของเขาแตะกับ Streak... และแล้ว เจ้า Streak ก็แสดงความกระหายในการล่าออกมาทันที

Arlinn รู้สึกปั่นป่วนในท้องของเธอ... Tovolar ลุกขึ้นยืน ร่างของเขาสู่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า Arlinn

“เราจะล่าทุกอย่างที่เราอยากจะล่า, โดยเฉพาะไอ้ตัวดูดเลือด ฝูงนักล่าปีศาจของข้าคงจะเล่นสนุกกับมันได้เพลินๆ (The Dire)”

“Dire งั้นเหรอ?” Arlinn จ้องเขม็งไปยัง Tovolar ทั้งๆ ที่ เธอรู้คำตอบจากการปรากฏกายของหมาป่าร่างยักษ์อยู่แล้ว “การล่า Vampire ก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ แต่คุณไม่ควร-”

เสียงขู่คำรามดังออกมาขัดจังหวะเธอ แสงจากดวงจันทร์ส่องแสงมาที่ใบหน้าของ Tovolar ที่เขี้ยวของเขางอกยาวออกมาเรื่อยๆ

“พวกเราจะทำอย่างที่เราต้องการ” Tovolar พูด “ข้าพร่ำบอกกับแกอยู่ตลอด”

เสียงหอนของหมาป่าดังกึกก้องไปทั่วป่า ยิ่งปลุกเร้าให้ Arlinn อยากจะออกล่า แต่เธอก็ยังคงประคองสติของเธอเอาไว้ได้

“ไม่... คุณทำแบบนั้นไม่ได้, ผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายรุ่น พวกเขาแค่อยากจะใช้ชีวิตที่ปลอดภัย เหมือนกับพวกเราไง”

Tovolar จ้องเขม็งมาที่ Arlinn “เจ้ามีความเชื่อมากไป” Tovolar คำรามในลำคอ “แต่เป็นหมาป่าน้อยเกินไป”

 

- ความลับ -


 

เช้าวันนั้น Arlinn กลับไปที่บ้านของเธอเป็นครั้งแรก

แม่ของเธอนั่งอยู่ในห้องรับแขก... กาลเวลาที่ผันผ่านปรากฏผ่านริ้วรอยบนร่างกายของเธอ

ไหล่ของเธอห่อค่อมลง ใต้ตาปรากฏถุงใต้ตาบางๆ ก่อนที่เธอจะโผเข้ากอด Arlinn ด้วยแขนที่แห้งเหี่ยว และไร้เรี่ยวแรงของแม่

 

“ลูกหายไปไหนมา?” เสียงอันแหบพร่าของแม่ได้ถามขึ้น “Arlinn ลูกรู้มั้ย มันพึ่งมีเรื่องเกิดขึ้น? พรานเด็ก 4 คนหายเข้าไปในป่า เมื่อพวกยามไปเจอเข้า พวกเขา.. พวกเขาเหลือแต่ซาก”

 

Arlinn รู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น... เธออาจจะบอกความจริงทั้งหมดกับแม่ของเธอก็ได้...

แต่เมื่อสายตาของเธอไปสะดุดเข้ากับสัญญะศักดิ์สิทธิ์แห่ง Avacyn ที่พ่อของเธอสลักขึ้นมาด้วยตัวเอง... มันก็ทำให้เธอเลือกที่จะไม่บอกความจริงที่เธอรู้อยู่แก่ใจให้กับแม่ของเธอฟัง

 

- รอยยิ้ม -


 

Arlinn ไม่ได้เป็นเพียงลูกหมาป่าตัวน้อยอีกต่อไป... เธอสลัดความกลัวออกไปจากมโนสำนึกของเธอได้แล้ว

แสงจากดวงจันทร์แห่ง Innistrad ช่วยให่การเปลี่ยนร่างเป็นไปได้อย่างง่ายดาย

กระดูกของร่างมนุษย์เริ่มส่งเสียงลั่น และเคลื่อนย้ายไปในตำแหน่งที่มันควรจะเป็น

Tovolar กลับรู้สึกสบายใจ และแสยะยิ้มออกมา...

รอยยิ้มที่ทำให้ Arlinn รู้สึกเกลียดมัน

 

- Mondronen -


 

การออกล่าครั้งแรกของ Arlinn เธอออกล่ากับ Tovolar

ครั้งที่ 2 เธอออกล่าพร้อมกับ Tovolar และอีกสามมนุษย์หมาป่า

ครั้งที่ 3 เธอก็พบว่า กลุ่มมนุษย์หมาป่าของเธอ ได้ออกล่ากันเป็นฝูงแล้ว

 

ฝูงนักล่าที่วิ่งผ่านป่าไปด้วยความกระหาย เป็นแรงขับเคลื่อนที่มากพอจะทำให้ Arlinn ปล่อยใจไปกับความเพลิดเพลินเหล่านี้

เธอเพียงต้องการจะฝังเขี้ยวของเธอลงไปยังร่างของกวางเพื่อเนื้ออันแสนจะโอชะของมัน... เธอคิดไปเองว่าเธออาจจะประคองสติของมนุษย์ได้นานพอ... นานพอที่จะลากร่างของกวางที่เธอล่าได้ กลับไปยังหมู่บ้าน เพื่อให้มันเป็นอาหารสำหรับครอบครัวของเธอ... หรือแม้แต่แบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน

 

คำกล่าวที่ว่า เมื่อโรงนาของคุณมีหนูเยอะเกินไป คุณก็แค่หาแมวมาไล่จับหนู... มันก็ถูกเอามาใช้กับหมู่บ้าน Kessig เช่นกัน

เมื่อมีมนุษย์หมาป่ามากเกินไป เราก็ต้องส่งพรานล่าสัตว์ฝีมือดีเข้าไปจัดการกับพวกมัน

 

Arlinn เห็นกวางตัวหนึ่งที่กำลังข้ามแม่น้ำในป่า... ขนของมันขาวราวกับแสงจันทร์ ดวงตาสีแดงราวกับเลือด

มันเป็นจังหวะที่เธอจะได้อาหารแสนอร่อย

เธอกระโจนเข้าโจมตีหมายชีวิต... แต่แล้ว ร่างของเธอก็พบกับความเจ็บปวด

เธอร่วงหล่นกระแทกพื้น... พร้อมกับศรที่ปักอยู่กลางอกของเธอ... ก่อนที่สติของเธอจะเลือนลางไป

 

เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เธอฟื้นขึ้นมาข้างๆ ซากศพของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคย... เขาเป็นเด็กที่เคยมาขโมยขนมอบของแม่เธอ... ในอตนนี้เขาโตพอที่จะเป็นพรานล่าสัตว์แล้ว... พร้อมกับอาวุธคู่ใจอย่างหน้าไม้ที่ตกอยู่ข้างๆ

รสที่ค้างอยู่ในปากของ Arlinn บ่งบอกว่ามันคือเลือด... เลือดของเด็กหนุ่มคนนี้

เธอกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง... นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการเลย

 

- การรอคอย -


 

นี่คงจะเป็นเพียงครั้งเดียวที่ Arlinn ยืนตระหง่าน สูงค้ำร่าง Tovolar

ยามที่เธอแปลงกายเป็นหมาป่า แต่ Tovolar ยังคงร่างมนุษย์เอาไว้

 

Arlinn แยกเขี้ยวขู่คำรามใส่ Tovolar

หมาป่าตัวอื่นๆ ล้อมทั้งคู่เอาไว้... บรรยากาศอันน่ากดดัน ได้เปลี่ยนไปเป็นความกระหายในการสังหาร พวกมันกระทืบเท้าลงกับพื้นเป็นจังหวะ

Arlinn เคลื่อนตัวไปรอบๆ Tovolar อย่างระมัดระวัง

“เธออยากจะออกล่าแล้วสินะ” Tovolar พูดขึ้น

นั่นมันเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...

Arlinn รู้สึกปั่นป่วนจากสายตาที่จับจ้องของหมาป่าตัวอื่นๆ ราวกับพวกมันคาดหวังในตัวเธอ... ทั้งๆ ที่เธอไม่รู้จักพวกมัน

พวกหมาป่าไม่ได้ใช้ชีวิตได้ง่ายดายนัก ในโลกที่ทุกๆ ชีวิตต่างหมายปลิดชีพกันและกัน... มันเป็นโลกที่ไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย

และมันก็มีเหตุผลมากเพียงพอ ที่จะปล่อยให้พวกมันได้ทวงคืนวิถีชีวิตที่ต้องการ...

 

แต่อีกใจของ Arlinn ก็ให้คำตอบว่าไม่... แม้ว่าเหตุผลที่มีอยู่ จะดูดีแค่ไหนก็ตาม

เธอต้องหยุด Tovolar ที่ตรงนี้... ก่อนที่การล่าของเขาจะสร้างหายนะไปมากกว่าเดิม... เพียงแค่เธอเปิดฉากโจมตี ความเป็นจ่าฝูงของเขาจะหมดลงทันที... เพียงแค่นั้น มันก็มากพอที่จะประวิงเวลาให้เธอหาความช่วยเหลือได้ทัน

 

 

Arlinn เงื้อกรงเล็บของเธอ ตวัดไปที่เป้าหมายทันที

 

แต่ก่อนที่มันจะได้ลิ้มรสเลือดของใคร... เจ้า Boulder กลับกระโดดเข้ามาขวางระหว่างเธอกับ Tovolar

Arlinn เบี่ยงวิธีการโจมตีของเธอออกไปได้ทันเวลา... แต่ใจของเธอได้แตกสลายไปแล้ว...

ใบหน้าของ Boulder ผู้เป็นหมาป่าขี้เล่น กลับแสดงออกเพียงความหิวกระหายในการล่า...

ก่อนที่เจ้า Streak จะเดินเข้ามาด้วยแววตาแห่งความกระหายเช่นกัน

 

เจ้า Redtooth ที่ยังอยู่ข้างๆ Arlinn... แต่ Redtooth เองก็มองมาที่ Arlinn ด้วยแววตาที่เว้าวอน... แววตาที่เธอบอกกับจ่าฝูงของตัวเองว่า เธอเองก็ต้องการออกล่าเช่นกัน...

Tovolar แสยะยิ้ม “ฝูงของเธอเข้าใจเรื่องนี้ดี”

มนุษย์หมาป่าทั้งหลายเริ่มแปลงกายไปเป็นหมาป่าเต็มตัว...

ในตอนนี้ฝูงหมาป่าของเธอเหลือเพียงเจ้า Patience ผู้อดทนอยู่เคียงข้าง...

 

- แสงที่ดับลง -


 

สัญญะแห่ง Avacyn ถูกประดับประดาอยู่ภายในโบสถ์ แสงตะวันทอแสงให้ภาพจากกระจกสีส่องประกายออกมา

Arlinn ให้ค่าแสงตะวันแรกของวันเหนือสิ่งอื่นใด...

ทุกครั้งที่พระอาทิตย์ขึ้น มันหมายถึงชัยชนะของเธอ... ชัยชนะที่อยู่เหนือปีศาจร้ายในตัวของเธอเอง, ทุกรุ่งเช้าที่มือของเธอไม่แปดเปื้อนเลือด คือสิ่งที่เธอให้สัญญากับตัวเอง... สัญญาที่จะควบคุมปีศาจตัวนั้น

หมู่บ้าน Kessig จะเริ่มมีชีวิตชีวา ก็ต่อเมื่อตะวันโผล่พ้นแนวเขาของหมู่บ้าน

ความปรารถนาที่จะได้ที่พักพิงอันปลอดภัย คือสิ่งที่ทำให้ Arlinn อดทนไม่ให้ปีศาจร้ายในตัวเธอครอบงำชีวิต...

เมื่อยามที่เส้นขอบฟ้ายามตะวันทอแสงนั้น หากจะมีองค์นางฟ้ามาปรากฏ เพื่อช่วยประโลมจิตใจของเธอ ก็คงดีไม่น้อย...

แต่บางที มันอาจจะเป็นกิจวัตรของผู้คน ที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของ Arlinn

 

กลุ่มคนกลุ่มเดิมๆ ที่จะจับกลุ่มคุยกันที่ข้างๆ โบสถ์

Barnaby ยังคอนกระเซ้า Arlinn เรื่องที่เธอเคยมาถึงโบสถ์เป็นคนแรกๆ ก่อนที่เธอจะยกตำแหน่งนั้นให้กับชาวบ้านคนอื่น

เมื่อเธอเชื่อมั่นว่าเธอควบคุมปีศาจร้ายในตัวได้แล้ว เธอเริ่มใช้เวลาส่วนตัวไปกับการใกล้ชิดผู้คนในหมู่บ้านมากยิ่งขึ้น

เธอมักจะขลุกอยู่กับ Luciana เพื่ออบขนมด้วยกันเสมอๆ

แม้ Luciana มักจะคุยโวว่าเธอมีสูตรขนมที่ดีกว่าของ Arlinn, แต่ Luciana ก็มักจะยอมทำขนมตามสูตรของ Arlinn ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวของนักอบขนมประจำหมู่บ้าน

หลวงพ่อ Zakarias ก็ยังคงเป็นห่วงเป็นใย Arlinn เหมือนครั้งที่เธอยังเป็นเด็กน้อย, หลวงพ่อเองก็มักจะจับโกหก Arlinn ได้เสมอๆ ในเวลาที่เธอไปสารภาพบาปที่โบสถ์

ความสงบอันแสนอบอุ่น ผู้คนนิสัยดี สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับแสงตะวันแรกของวัน... Arlinn ใช้ชีวิตอย่างสบายใจจนลืมเรื่องที่ทำให้เธอต้องหนีกลับมาที่บ้าน... จนกระทั่ง

 

 

ชายคนนั้น ปรากฏกายมายามตะวันทอแสง... Tovolar

เขาไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา ความดิบในตัวของเขา กระตุ้นความดิบในตัวของเธอ

ชุดเกราะบุบๆ ที่ถูกสนิมกัดเป็นสีแดงราวกับลวดลายของมัน, กลิ่นของเลือด ขี้เถ้า และไม้สน เขาเพียงแค่มองตา และนั่งลงข้างๆ Arlinn

และเพียงแค่นั้น Arlinn ก็รู้ทันที ว่าอะไรจะตามมา... ความวิตกกลับมาหาเธออีกครั้ง

Tovolar ทำเพียงแค่ลุกออกไป... เพื่อนใหม่ที่ Arlinn อบอุ่นใจเข้ามาถามไถ่เธอด้วยความเป็นห่วง... Arlinn ไม่มีคำตอบอะไร เธอบอกเพียงแค่ว่า เธอขอเวลาส่วนตัวซักเดี๋ยว ให้ตัวเองสบายใจขึ้น ก่อนที่จะลุกออกมา

คืนนั้น Arlinn ขังตัวเองไว้ในห้อง... เธอปิดม่านไม่ให้แสงใดๆ เข้ามารบกวน, วางตั้งสัญญะศักดิ์สิทธิ์แห่ง Avacyn ไว้ในจุดที่เธอจะมองเห็นมันตลอดเวลา...

 

แต่ค่ำคืนก็คงมืดมนเกินไปที่จะมองเห็นมัน

และมันก็อาจจะเป็นเหตุให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น...

หรือสิ่งที่เธอยึดมั่น มันอาจจะไม่เพียงพอ

 

ไม่ว่าเหตุผลกลใดก็ยากเกินจะหยั่งถึง... Luciana เพื่อนผู้แสนดีของเธอ กลับเข้ามาดูสารทุกข์สุขดิบของ Arlinn ในคืนนี้...

Arlinn จำได้เพียงการล่า เธออยากจะหนีออกไป... ไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ป่าสยองขวัญนั่น และสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ ก็คือเลือด...

 

Arlinn ได้สติกลับมา ท่ามกลางทิวทัศน์ที่คุ้นเคย... กลางป่าของ Kessig ที่ๆ เธอไม่อยากมาถึงมากที่สุด

 

- การจากลา -


 

การขุดคุ้ยเรื่องในอดีตก็เหมือนการเปิดแผลเก่า แล้วหวังว่ามันจะหายดีกว่าเดิม

ในเมื่อ Tovolar อยากจะออกล่า... ฝูงของเธออยากจะออกล่า

แต่เธอไม่... เธอคงทำได้เพียงช่วยให้ฝูงของเธอปลอดภัยเท่าที่เธอจะทำได้

Arlinn คุกเข่าลง ลูปหัวของเจ้า Patience เกาคาง และกอดมันเป็นครั้งสุดท้าย...

“ดูแลทุกคนด้วยนะ” Arlinn บอกกับเจ้า Patience ด้วยปากของมนุษย์หมาป่า ที่ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้เป็นภาษามากนัก... แต่เธอรู้ดี ว่าเจ้า Patience เข้าใจมันเป็นอย่างดี... Arlinn ตบบ่าของมันเป็นสัญญาณอนุญาตให้เจ้า Patience ออกล่า...

Arlinn ลุกขึ้นยืน พร้อมๆ กับ Patience ที่เดินจากไป

ฝูงหมาป่าหอนส่งสัญญาณระงมไปทั่วป่า... ทุกครามันเหมือนกับมีดที่กรีดหัวใจของ Arlinn

Tovolar พยักหน้า “ถ้าเธอพร้อมสำหรับโลกใบใหม่ที่จะมาถึง, ก็ตามหาพวกเราซะ”

เขาเริ่มกายร่าง แต่ Arlinn ไม่ได้ทนอยู่ดูการกลายร่างนั้น

 

- รวบรวม -


 

Arlinn กลับไปหาเหล่าแม่มดแห่ง Dawnhart ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

อาจจะเป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับกลิ่นของกลุ่มคนเหล่านี้แล้วก็เป็นได้

แม้ระยะทางจะไม่ไกล แต่สิ่งที่กินเวลามากก็คือจิตใจของเธอ... ทุกครั้งที่มีเสียงของหมาป่าในฝูงของเธอ มันทำให้เธอต้องหยุดชะงักทุกครั้ง

 

เมื่อเธอมาถึงที่พักของเหล่าแม่มด เธอคิดว่าเธอไม่เหลือเวลาสำหรับเรื่องไร้สาระอีกต่อไป

“ฉันจะไปหากุญแจนั่นมาให้” Arlinn พูดขึ้น

Katilda กลับเชื้อเชิญให้ Arlinn เข้ามานั่งข้างกองไฟ... และไม่ว่า Katilda จะสังเกตุหรือไม่ก็ตาม ฝูงของ Arlinn ในตอนนี้ เหลือเพียงแค่เธอคนเดียว

แต่ที่นี่ ยังมีเหล่าผู้คนมากมาย พวกเขาต่างให้แสงไฟอันศักดิ์สิทธิ์พาพวกเขาข้ามผ่านคืนนี้ไป

 

- แสงยามเช้า -


 

แสงตะวันจะนำพาเพื่อนใหม่ให้พบเจอ

และเมื่อรุ่งเช้ามาถึง Katilda แม่มดผู้ที่เชื่อว่ามีอายุขัยอันยืนยาว ได้พาพลพรรคแม่มดคนอื่นๆ ไปยังพื้นที่กลางค่ายแห่งนี้

พวกเธอเริ่มพิธีกรรมอะไรบางอย่าง... พลังแห่งเวทย์มนต์ล่องลอยไปตามอากาศ ราวกับมันเป็นเสียงเพรียกที่จะนำพาผู้คนมายัง Celestus แห่งนี้

 

Arlinn เองก็มีวิธีรวบรวมผู้คนในแบบของเธอ... วิธีที่เหล่าแม่มดไม่อาจล่วงรู้ได้ เธอแอบ Planeswalk ไปยัง Ravnica

Ravnica เมืองที่ไม่มีอะไรง่ายดาย... เพียงแค่จะเข้าไปหา Jace Beleren, Arlinn ต้องกรอกเอกสาร และตอบคำถามของเหล่ายามอีกมากมาย...

 

และเมื่อเธอได้เข้ามาที่บ้านของ Jace, เธอก็พบว่า เขาไม่อยู่บ้านด้วยซ้ำ...

แต่ก็ยังดี ที่มีเพื่อนของ Jace อีกคนอยู่ที่นี่, เพื่อนผู้ขึ้นชื่อระดับตำนาน

 

Teferi, Who Slows the Sunset

 

เป็น Teferi ที่เป็นฝ่ายหันมาทักทาย Arlinn ก่อน, เรื่องราวมากมายในอดีตของ Teferi ทำให้การพบเจอเขาในเวลานี้ ออกจะทำให้ Arlinn รู้สึก... ประหลาดใจ

เพราะเธอไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นคน... ง่ายๆ สบายๆ การยิ้มทักทายของเขาก็ทำให้ Arlinn สบายใจมากขึ้นไปอีก หรืออาจจะเป็นเพราะเขาดูอายุใกล้เคียงกับเธอ...

แต่ก็นั่นแหละ Teferi เพียงแค่ดูอายุใกล้เคียงกับ Arlinn เท่านั้นเอง... เขาแก่กว่าเธอจนเกินกว่าจะนับรอบได้... แต่ก็ช่างมันเถอะ

Teferi รินชาให้เธอ

“ผมเดาได้ว่าคุณคงไม่ได้มาทีนี่ แค่ให้ผมมีเพื่อนคุยหรอกนะ, ArlinnTeferi พูดขึ้น “ขอโทษที แต่คุณดูเหมือนคนไม่ได้นอน”

“เอ่อ... มันดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” Arlinn ตอบ... ชาที่เธอจิบ บ่งบอกรสชาดอันเข้มข้น แต่ก็ละมุนลิ้นไปในเวลาเดียวกัน... มันทำให้เธออดคิดถึงรสชาของแม่เธอไม่ได้

“ถ้ามาขอให้ผมยืดเวลากลางคืนจะได้มีเวลานอนล่ะก็ ผมทำให้ไม่ได้หรอกนะ” Teferi กล่าวติดตลก แต่มันกลับทำให้ Arlinn แอบสะดุ้งเบาๆ

“ขอโทษที่เดาแม่นไปหน่อยนะ” Teferi พูดต่อ

“ที่จริงแล้ว... ที่ Innistrad, กลางคืนเริ่มกลืนกินช่วงเวลากลางวันแล้วล่ะ...” Arlinn กลับเข้าประเด็นทันที

“แต่สำหรับที่นั่นแล้ว... มันหมายถึงการพักผ่อนของทุกคนจะหมดลงต่างหาก... ไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น... ฝูงหป่าก็-” Arlinn ไม่สามารถจบประโยคของเธอได้

จริงๆ แล้ว เธอไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงด้วยซ้ำ... เรื่องราวมันดูสับสนไปหมด

ก่อนที่จะมีเสียงโครมครามจากชั้นสอง

เมื่อเธอหันไปก็พบกับ Chandra ที่กระโดดผ่านราวบันไดลงมาเพื่อให้ถึงชั้นล่างไวขึ้น

“เจ๊ Arlinn!” Chandra กระโดดโลดเต้นเข้ามาหาเพื่อนเก่าของเธอ “เจ๊เอาสูตรทำ-”

อาจจะเพราะ Arlinn ไม่สามารถหลบซ่อนความเศร้าหมองของเธอได้ดีนัก Chandra จึงหยุดบทสนทนาของเธอไว้กลางคัน

Arlinn ถอนหายใจออกมา “คงต้องรอไปก่อนนะ... คือพี่พึ่งเล่าให้ Teferi ฟังว่า-”

ประตูบ้านของ Jace เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับคนที่ Arlinn ไม่คุ้นหน้ามาก่อน เดินเข้ามาและมองมาที่เธอ

เธอคนนั้นเลิกคิ้วขึ้น ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “อ๋อ เธอนี่เอง ที่เอาดินสอไปกรอกแบบฟอร์มที่ให้เขียนด้วยปากกาเท่านั้นนี่เอง”

แล้วทุกคนก็ปล่อยก๊ากออกมา... มันเป็นเพียงมุขตลกฝืดๆ... แต่ก็พอที่จะผ่อนคลายบรรยากาศลงไปได้

มันเหมือนกับช่วงเวลาที่เธออยู่กับ Barnaby และ Luciana... ช่วงเวลาแห่งความสุขที่เธอจำได้อีกครั้ง ว่าเธอยืนหยัดต่อสู้เพื่ออะไร...

 

มนุษย์ก็ออกล่าเป็นฝูงเช่นกัน

 

- ผู้นำทาง -


 

บรรดาเพื่อนๆ ของ Jace ตั้งใจรับฟังเรื่องราวของ Arlinn

และหญิงแปลกหน้าก็แนะนำตัวเองว่าเธอชื่อ Kaya

เพียงแค่เรื่องของเวลาที่บิดผันไป ก็ทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ทันที... พวกเขาจะไปที่ Innistrad

พวกเขาจะช่วย Arlinn... แต่เธอต้องพาพวกเขาไปพบกับแม่มด Katilda เสียก่อน

 

พวกเขากลับมาที่ป่าอันรกทึบของ Innistrad อีกครั้ง

สำหรับ Arlinn ที่นี่ไม่ได้อึดอัดเหมือนกับตึกที่เรียงราย ณ Ravnica

และแม้ป่าที่นี่จะรกทึบแค่ไหน แต่ Arlinn ก็สามารถนำทางคณะเดินทางของเธอไปยังค่ายของ Katilda ได้

เมื่อพวกเขาเดินผ่าน Celestus ขนาดมหึมา มันก็ดึงความสนใจของ Chandra ไป และก็ทำให้ Arlinn พึ่งรู้สึกสนใจมันเป็นครั้งแรกๆ

 

เมื่อพวกเขาเดินไปถึงค่าย, Arlinn ก็พบว่ามีอีกกลุ่มคณะได้เข้ามาถึงที่แห่งนี้

กลุ่มคนมากมาย คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้พวกเขาอยู่ในระเบียบได้... แต่สำหรับ Arlinn แล้ว เธอคิดว่าเธอต้องเตรียมตัวกลุ่มคนเหล่านี้ให้พร้อม

ถึงแม้เพื่อนของเธอจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นตัวอะไร แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัว ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นได้ยากกับมนุษย์ธรรมดาๆ ใน Innistrad

 

ก่อนที่สายตาของ Arlinn จะไปสะดุดเข้ากับกลุ่มของเหล่าทหารศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่า Arlinn จะไม่รู้จักพวกเขา แต่มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะบอกว่าใครคือนักรบศักดิ์สิทธิ์ เพราะถ้าคุณสืบสานการแต่งกาย และทำซ้ำวัฒนธรรมมานานมากพอ เพียงแค่ชุดเกราะก็บอกแล้วว่าคุณเป็นใคร

ท่ามกลางฝูงชนนั้น มีหญิงสาวผิวคมเข้ม ในชุดเกราะสีขาว มาดของเธอคือนักรบหญิงในฝันของเด็กทุกๆ คน

เมื่อเธอสังเกตเห็นกลุ่มของ Planeswalker ผู้มาเยือน เธอหยุดบทสนทนาที่มีกับ Katilda และหันมาแนะนำตัวกับเหล่าคณะ Planeswalker

 


Adeline, Resplendent Cathar
 

“คุณคงจะเป็น Arlinn Kord ใช่มั้ย?” เสียงของนักรบหญิงคนนั้นก้องกังวาล

“ใช่แล้วล่ะ” Arlinn ตอบ “นี่คือเพื่อนของฉันเอง Kaya, Teferi และก-”

Chandra Nalaar ค่ะ” Chandra พูดขัดจังหวะขึ้นมา “ฉันชื่อ Chandra คุณชื่ออะไรคะ?”

“เรียกฉันว่า Adeline ก็พอแล้วล่ะ” นักรบหญิงคนนั้นยิ้มพลางขำเบาๆ “ยินดีที่ได้รู้จักคุณ Arlinn, คุณ Kaya, คุณ Teferi และ Chandra Nalaar, Katilda บอกว่าพวกคุณจะมาช่วยเทศกาล Harvesttide ใช่มั้ย?”

Arlinn รีบขัดจังหวะก่อนที่ Chandra ตัวแสบจะตอบรับคำเชิญเข้าร่วมเทศกาล “เรามาเพื่อตามหากุญแจเท่านั้น, ไม่ได้จะเข้าร่วมเทศกาลหรอกนะ”

“เอ่อ... ไม่เห็นบอกเราเลย ว่ามีเทศกาลอะไรนี่ด้วย” กลับเป็น Kaya ที่แสดงความสนใจแทน Chandra เสียอย่างงั้น

“Katilda คิดไปเองว่ามันเป็นสิ่งสำคัญน่ะ” Arlinn ตอบ

“มันสำคัญจริงๆ ต่างหาก” Katilda ตอบ แต่ห้วงเสียงของเธอกลับไม่เป็นจังหวะเดียวกันกับการขยับปากของเธอ “พิธีกรรมนี้ มีโอกาสให้เราทำพลาดได้น้อยมากๆ... ฉันพูดได้เลย ว่ามันข้ามขั้นตอนใดๆ ไป ไม่ได้เลย”

“มันออกจะเอาแต่ใจตัวเองอยู่สินะ” เสียงของ Teferi ดังขึ้น “ยิ่งเวทย์มนต์เก่าแก่มากเท่าไร พวกมันก็จะทำตามขั้นตอนของมันเท่านั้น”

“ชายคนนี้เข้าใจทุกอย่างดี” Katilda เอ่ย

 

แม้ว่า Arlinn อยากจะยืนยันความเห็นของเธอ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา มันก้ทำให้เธอแทบไม่เหลือแรงจะต่อปากต่อคำอีกแล้ว เธอจึงทำได้เพียงตามน้ำไป

“ว่าแต่ Katilda, คุณต้องการให้พวกเราทำอะไรกันแน่” Teferi ถาม ก่อนที่จะเอาคฑาชี้ขึ้นไปยัง Celestus และยิงคำถามต่อไปทันที “ถ้าเราได้กุญแจแสงจันทร์สีเงินมา เจ้าสิ่งนี้มันจะช่วยอะไรเราได้”

“พวกเจ้าแค่เอากุญแจนั่นไปยังแกนกลางของ CelestusKatilda ตอบ “ฉันจะรอพวกเจ้าที่นั่น... เราจะไขแม่กุญแจแห่งแสงตะวันสีทอง และจบพิธีกรรมนี้”

“แล้ว... ป้าพอจะรู้มั้ย ว่าเราจะไปหากุญแจสีเงินได้จากไหน” Kaya ถาม “เอาแค่เบาะแส หรือที่สุดท้ายที่รู้ว่ามันเคยอยู่ก็พอ”

Katilda ถอนใจ “ไม่... มันถูกยึดไปจาก Dawnhart กว่าศตวรรษแล้วล่ะ”

“โอวเค” Kaya พึมพัม “แต่ยังไงก็ต้องหาที่เริ่มสืบจากที่ไหนซักที่... Arlinn คุณคิดว่าไง?”

 

ทว่า Arlinn เองก็พึ่งได้ยินชื่อของกุญแจแสงจันทร์สีเงินเมื่อคืนวานนี้นี่เอง... ที่เธอมีอยู่ในหัวก็แค่ เจ้าเครื่อง Celestus นี่เป็นของโบราณ... กับการทำงานของทหารเมือง Traben!

“ฉันว่า มันน่าจะอยู่ที่เมือง Thraben... มันอาจจะเป็นคนของศาสนจักรที่เก็บเอามันไป” Arlinn พูดขึ้น

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มันก็ถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัย... เกินไปแน่ๆ” Adeline ตอบ “พวกเราคงต้องเดินทางไป Thraben สินะ”

“เอ่อ... นี่คิดกันจริงๆ เหรอว่าควรจะไป Thraben น่ะ?” Chandra แทรกขึ้นมา “มันปลอดภัยแล้วใช่มั้ย? ฉันไปที่นั่นมาครั้งก่อน มันระดับหายนะชัดๆ”

Adeline มอง Chandra กลับ ก่อนที่ Chandra จะสวนกลับทันที “ฉันไม่ได้ปอดน่า!”

Arlinn ถอนใจออกมา “ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อนะ... แต่คลังเก็บสมบัติที่นั่นน่าจะยังอยู่ดี”

ถึงมันจะผ่านมาพักใหญ่ๆ ที่ Arlinn ไม่ได้ไปที่มหาวิหารแห่ง Thraben.... เธอทำได้แค่หวังว่า คำพูดของเธอ คงจะเป็นจริง

 



 

Magic Story By K. Arsenault Rivera