- ตามหาผู้สร้าง -

 

ภารกิจที่ Venser มองเห็นเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ คือการตามหา Karn ผู้สร้างดาวดวงนี้ เพราะเขาน่าจะเป็นเพียงคนเดียว ที่จะหยุดยั้งเรื่องราวทั้งหมดได้

และมุมมองของ Venser ก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ทั้ง Koth และ Elspeth เปลี่ยนใจ ตั้งเป้าหมายเพื่อทำตามภารกิจใหม่

 

พวกเขาเดินทางเข้าใกล้ปากปล่องทางเข้าเทือกเขา Ish-Sah

พวกเขาได้พบเข้ากับเหล่าเครื่องจักร Phyrexian ที่เดินทางออกมาจากทางเข้า - ออก ราวกับกองทัพทหารที่กำลังจะออกสำรวจ... หรือที่แย่ไปกว่านั้น คือการเตรียมออกรบ...

 

ทั้งสามรอจังหวะที่เหล่าเครื่องจักรเดินทางออกมาจนหมดขบวน ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปภายใน ก่อนที่จะพบกับเครื่องจักรที่มีชื่อเรียกว่า Myr ตัวหนึ่ง ที่พยายามส่งสัญญาณให้พวกเขาตามมันไป

ทั้งสามเดินทางเข้าไปสู้ชั้นใต้ดินที่ลึกลงไปเรื่อยๆ

จนได้เจอกับเครื่องจักรตัวเดิมที่พวกเขาพึ่งหลบหนีมา แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะเดินทางตามมันต่อไป

ทั้งสามเจอเข้ากับอีกห้อง ห้องที่สร้างขึ้นเพื่อสังเคราะห์อาหาร แต่ทว่า เหล่าเครื่องจักรในห้องนั้น ก็จับความเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ ทั้งสามต้องปะทะกับเครื่องจักรที่ถูกสร้างมาเพื่อตัด, สับ และผ่าร่างของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมาย

ทั้งสามไม่สามารถต้านทานปริมาณอันมหาศาลของเครื่องจักรได้ พวกเขาจึงหนีออกไปทางท่อทิ้งขยะ และหนีออกไปได้สำเร็จ

พวกเขาได้พบกับค่ายผู้อพยพชาว Mirran ที่มี Elf เป็นผู้นำของค่ายอพยพ ที่มีชื่อว่า Ezuri

แม้ว่า Venser จะเสนอให้ทีมของเขาเดินทางตามหา Karn ต่อไป แต่ Ezuri กลับพยายามจะขัดขวางพวกเขา

เพราะการที่ Ezuri ได้ขึ้นเป็นผู้นำของค่ายผู้อพยพแห่งนี้ มันมาจากการรุกรานของ Phyrexian และการปล่อยให้ผู้มาเยือนทั้ง 3 ได้เดินทางลึกเข้าไปอีก อาจจะทำให้ความสมดุลทางอำนาจได้เปลี่ยนไป... และมันอาจจะทำให้เขากลับไปเป็นเพียง Elf ธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง

ทว่า พลังของ Ezuri ก็ไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของ Elspeth ได้

ทั้ง Koth, Elspeth และ Venser จึงออกเดินทางจากค่ายผู้อพยพที่แสนจะประหลาดแห่งนี้

 

- ผู้มาเยือน และผู้มาเยือน -

 

คณะเดินทางของทั้งสาม เดินทางลึกเข้าไปจนบังเอิญได้พบกับ Tezzeret

แม้ว่าจะไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ Tezzeret ก็เข้ามาให้ความช่วยเหลือพวกเขาทั้งสาม

Tezzeret ได้นำทางพวกเขาไปพบกับห้องทดลองของ Phyrexian

Elspeth ที่ถูกกระตุ้นความหลังอีกครั้ง กลับถูกผลักดันด้วยความโกรธเกรี้ยวในครานี้ เธอเข้าโจมตีเหล่า Phyrexian ในห้องจนพวกมันถูกสังหารไปเกือบทั้งหมด

ที่นี่ พวกเขายังได้พบกับ Melira หญิงสาวชาว Mirran ที่ร่างของเธอไม่ปรากฏการเปลี่ยนแปลงเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในดาวดวงนี้...

Tezzeret ได้บอกกับพวกเขาว่า Melira คือทางรอดของดาว Mirrodin... เธอคือไม่กี่คนที่ มีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในดาวดวงนี้

ภูมิต้านทานต่ออาการ Phyresis

[Phyresis คือชื่อโรคที่แพร่ระบาดไปทั้ง Mirrodin ดยอาการคือเกิดชิ้นส่วนโลหะปะปนเข้ามาในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเชิงชีวะ และการเกิดขึ้นของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะเชิงชีวะ ในเครื่องจักรกล]

การเดินทางของคณะเดินทางใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น และจุดมุ่งหมายของพวกเขาก็ยังเป็นไปตามที่ Venser ต้องการ... ตามหา Karn เพื่อให้เขายุติเรื่องราววุ่นวาย ณ ดาวแห่งนี้

 

 

- ล่าถอย -

 

หลังจากช่วยเหลือ Melira ออกมาจากห้องทดลองของ Phyrexian ได้ พวกเขาก็เลือกที่จะกลับขึ้นไปยังชั้นพื้นผิว กระนั้น การเดินทางของพวกเขากลับต้องปะทะกับเหล่า Phyrexian อีกครั้ง

พวกเขาต้องล่าถอยไปจนถึงบริเวณชั้นเตาเผา... ที่ที่พวกเขาพบกับ Ezuri และค่ายอพยพชาว Mirran อีกครั้ง

[ที่ Mirrodin เป็นดาวที่แบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือชั้นพื้นผิว, ชั้นเตาเผา และชั้นแกนกลาง]

 

แม้ว่าครั้งที่แล้ว Ezuri จะปฏิบัติตัวไม่ดีกับพวกเขาเท่าไหร่นัก แต่การพบกันในครั้งนี้ Ezuri ก็ยังคงต้อนรับพวกเขาเช่นเดิม

และที่ค่ายอพยพแห่งนี้เอง ที่ Melira ที่ได้แสดงความสามารถของเธอ...

การติดเชื้อ Phyresis ในโลกของ Mirrodin นั้น มาจากน้ำมัน Phyrexian ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป

และเพียง Melira สัมผัสร่างของผู้ที่ป่วย อาการของพวกเขาก็ดีขึ้นทันที

ผลจากการกระทำเหล่านั้น ทำให้ Ezuri มองเห็นเส้นทางแห่งอำนาจของเขาอีกครั้ง

 


Ezuri, Renegade Leader
 

Ezuri พยายามจะดึงตัว Melira ไว้

ทว่า Melira เลือกที่จะเดินทางไปกับ Elspeth ที่คอยปกป้อง และดูแลเธอ

ทีมของ Elspeth ที่ประกอบไปด้วยตัวเธอเอง Koth, Venser และ Melira จึงออกจากค่ายอพยพของ Ezuri ก่อนที่ค่ายนั้นจะถูกโจมตีโดยพวก Phyrexian ในภายหลัง

 

ส่วน Tezzeret นั้น แยกตัวออกไปตั้งแต่การมาถึงค่ายอพยพแห่งนี้

เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของเขา กลับไม่ใช่การช่วยเหลือค่ายอพยพใดๆ แต่มันคือเป้าหมายเดียวกันกับเป้าหมายของ Venser

การปลดปล่อย Karn

 

อย่างไรก็ดี คณะเดินทางของ Elspeth ที่ออกเดินทางตามหา Karn อีกครั้ง

ด้วยความล่าช้า, ความไร้ประสิทธิผล ประกอบเข้ากับการปะทะกันเป็นระยะๆ ที่ชั้นพื้นผิวของ Mirrodin

ทั้งหมดนั้น ทำให้ Koth หัวเสีย และเริ่มเห็นว่า ภารกิจของ Venser มันดูงี่เง่า และไม่ได้ช่วยให้ Mirrodin เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเลย

Koth แยกตัวออกไปพร้อมกับเอาตัว Melira ไปกับเขาด้วย

 


Melira, Sylvok Outcast
 

แต่ตัว Elspeth เองไม่ได้สิ้นศรัทธาในภารกิจของ Venser ทั้งคู่จึงเดินทางเข้าสู่ใจกลางของ Mirrodin ต่อไป

กระนั้น เส้นทางของพวกเขา กลับไม่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้าย

เมื่อทั้งคู่กลับถูกโจมตีโดยเครื่องจักร Phyrexian อีกครั้ง และมันก็ลักพาตัวพวกเขาเข้าไปยังชั้นที่ใกล้กับแกนกลางของ Mirrodin...

 

- ผลพวงแห่งความวิปริต -

 

ภายใต้อุโมงค์อันมืดมิด อากาศชวนอึดอัดและร้อนจนหายใจไม่สะดวก ยังมีบัลลังก์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน

ร่างโลหะสีเงินประทับอยู่บนนั้น เขาเริ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่สติของเขายังคงเลือนรางและเต็มไปด้วยความสับสน

ภาพของเหล่าเครื่องจักรที่รูปร่างแตกต่างกันไป ต่างเข้ามาในห้วงความทรงจำของเขา

เสียงอันสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งอุโมงค์ก้องอยู่ในโสตประสาทของ Karn เหล่าเครื่องจักรเบื้องหน้าของเขาบ้างก็สะแยะยิ้ม บ้างก็เพียงพยักหน้ารับรู้เพราะมันไม่มีแม้แต่ปากให้ฉีกยิ้ม

พวกมันเหมือนจะตอบสนองกับเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์เหล่านั้น

 

“ที่นี่ที่ไหนกัน?” Karn พูดสื่อสารกับเหล่าเครื่องจักร ก่อนที่เขาลืมตาขึ้นมา...

ทว่า... มันกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่าในห้องแห่งบัลลังก์ของเขา

ภาพที่เขาเห็นมันคืออะไรกัน... กาลเวลาที่ไม่รู้ชั่วยาม... สิ่งเหล่านี้มันบอกเป็นนัยๆ ว่าเขากำลังจะเป็นบ้าอย่างงั้นหรือ?

“ข้า... ข้าเป็นใคร?” เขาเริ่มตั้งคำถามแปลกๆ ขึ้นมาเสียแล้ว “ข้าเป็นใคร?” เขาถามคำถามนั้นซ้ำไปซ้ำมา ราวกับเด็กที่ยังไม่ประสา

“เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นใคร” อีกเสียงดังขึ้นมาในโสตประสาทของ Karn... มันไม่ใช่เสียงที่เขาปรารถนาจะคุยกับตัวเอง “และเจ้ารู้ดี ว่าเจ้าจะก้าวสู่สิ่งใด”

“นั่นใครน่ะ!? แล้ว... ข้า...เป็นใคร?” Karn บ่นพึมพำออกมา แต่อีกเสียงกลับไม่ให้คำตอบกลับมา

“ช่างเถอะ... ข้าไม่ได้อยากรู้ว่าเจ้าเป็นใคร” เสียงของ Karn ก้องสะท้อนไปทั่วทั้งอุโมงค์ชั้นใต้ดิน “แค่บอกมา ว่าข้าจะก้าวสู่สิ่งใด”

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังออกมา... แต่ก็ไม่ปรากฏร่างใดๆ... หรือมันจะเป็นเสียงจากตัวของเขาเองกันแน่นะ?

 

“เจ้าเป็นสักขีพยานมานับพันๆ ปี... และมันถึงคราของเจ้าแล้ว... จงสดุดีบิดาแห่งเครื่องจักรองค์ใหม่ (Father of Machines)เสียงนั้นตอบกลับมาหลังจากสิ้นเสียงหัวเราะลง

... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน... มันผ่านพ้นช่วงการรุกรานของ Phyrexia ไปแล้ว... การรุกรานของ Yawgmoth ผู้ได้ฉายาว่าบิดาแห่งเครื่องจักร...

 

“เป็นพันๆ ปี งั้นหรือ... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” Karn ยังคงสับสน ก่อนที่คำตอบจะมาจากสิ่งที่เขาสัมผัสได้

ร่างที่ถูกยึดไว้กับบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่ ที่อกของเขาส่งแสงเรืองๆ ออกมา พร้อมกับคราบน้ำมัน...

น้ำมัน Phyrexian ที่มาจากหัวใจของเขา... หัวใจของ Xantcha

หัวใจที่มาจากการรังสรรค์ของ Yawgmoth และการเสียสละของ Xantcha เพื่อ Urza

Urza ที่ทำให้อะไหล่ของเธอ กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง Karn

บัดนี้ภาพต่างๆ ในอดีตกาลเริ่มทำให้ Karn ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว...

 

[Xantcha คือ Sleeper Agent หรือ สายลับเครื่องจักรจาก Phyrexian ในยุคที่ Yawgmoth เรืองอำนาจ]

[Xantcha เป็น Sleeper Agent ที่เกิดขัดข้อง และไม่รับคำสั่งของ Yawgmoth เธอช่วยเหลือ Urza ในสมัยที่เขายังวัยรุ่น ก่อนที่จะสละชีวิตของเธอ เพื่อกำจัด Sleeper Agent ตนอื่นๆ]


Xantcha, Sleeper Agent
 

น้ำมัน Phyrexian หนึ่งในสสารที่ส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ตามแบบฉบับของ Yawgmoth

น้ำมันที่ไม่ควรจะหลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน หลังจากจบสิ้นสงครามกับ Yawgmoth มานับพันๆ ปี

มันกลับกลายเป็นเขาเอง...

มันคือ Karn เอง ที่กลายเป็นพาหะ นำพาความหายนะไปทั่วทั้งจักรวาลด้วยการเดินทาง Planeswalk ไปยังสถานที่ต่างๆ

มันเป็นเขาเอง ที่ทำให้ Memnarch ผู้ภักดี กลายเป็น Golem ที่คลั่งใคล้ในความหลากหลายของสายพันธุ์ และการเดินทางข้ามดวงดาว...

และมันกลายเป็นเขาเอง...

เขาที่ควรจะเป็นผู้ยุติเรื่องวุ่นวายทั้งหลายที่ Yawgmoth ก่อขึ้น หาใช่ผู้สานต่อมัน

และร่างที่ถูกผสานเข้ากับบัลลังก์... ร่างที่ส่งพลังไปยังแกนกลางของ Argentum... ดวงดาวที่เขาสร้างมันขึ้นมา...

Argentum ที่กลายเป็น Mirrodin ดวงดาวที่ผ่านการเปลี่ยนแปลง...

บัดนี้... มันกลับกลายเป็นเขาเอง ที่จะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

 

“ข้า... ข้าทำเรื่องอะไรลงไปกับดวงดาวอื่นๆ บ้าง!?!” Karn เริ่มตระหนกถึงสิ่งที่จะตามมาจากการเดินทางของเขา

“เจ้าคือบิดาแห่งเครื่องจักร!” อีกเสียงในหัวของเขาดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง “ทุกวาจาที่เจ้าเอ่ย มันคือคำสั่งที่ขับเคลื่อนพวกเรา... เพียงคำๆ เดียว ไม่ว่ามันจะคืออะไร พวกเราจะทำตามมัน... เจ้าลองเงี่ยหูฟังสิน้องชาย... เสียงของผู้มาเยือนได้มาถึงแล้ว”

 

- ความสับสน -

 

เสียงเคาะประตูดังก้องอยู่ภายในห้องแห่งบัลลังก์

Karn ยกหัวของเขาขึ้นมา... มันเป็นเพียงไม่กี่ส่วนในร่างกายของเขาที่สามารถขยับได้ในตอนนี้

 

“น้องชายงั้นรือ... เฉกเช่นความสัมพันธุ์ของ Mishra และ Urza หรืไง!?!” Karn สบถออกมาเพื่อคุยกับตัวเอง ก่อนที่ประตูของห้องจะถูกเปิดออก

และบรรดาเครื่องจักรก็หลั่งไหลเข้ามา “บึงแห่ง Urborg ไงเจ้าโง่ ข้าต้องติดอยู่ในพันธะเวลาของที่นั่นแน่ๆ” Karn เริ่มคุยกับตัวเองในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลกที่เขาอยู่เสียแล้ว

ดวงตากลมๆ ภายใต้หน้ากากสีขาวโพลนราวกับเครื่องปั้นดินเผาจ้องมองมายัง Karn เสียงของการเคลื่อนไหวไปมายังคงบ่งบอกว่าเหล่าผู้มาเยือนมีจำนวนมากมาย

ก่อนที่หนึ่งในกลุ่มเครื่องจักรที่ถูกผสานเข้ากับเกราะสีขาวจะก้าวเดินออกมาที่เบื้องหน้าของบัลลงก์ที่ Karn ประทับอยู่

 

“เจ้าจงจำไว้ นี่คือบัลลงก์ของพวกเรา” เสียงในหัวของ Karn พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เครื่องจักรของพวกเรา... เครื่องจักรอันสมบูรณ์แบบ”

“โลกของข้ามันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว” Karn ตอบกลับเสียงนั้น

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ยังไม่รู้จักกับความสมบูรณ์แบบ... พวกเราได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางคณิตศาสตร์ไปแล้ว”

“เข้าา!” Karn ตะโกนออกมา “เจ้า! ไปนำตัวพวมันเข้ามาให้มด” เขาออกคำสั่งกับเครื่องจักรในเกราะสีขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

แต่... ท่าน” เครื่องจักรตัวนั้นแสดงความกระอักกระอ่วนใจ “มันจะเกิดความวุ่นวายได้นะขอรับ พวกเราบางตัวต้องรอเข้าพบท่านเป็นวันๆ เราควรจะทำตามระเบียบที่วางไว้

ตา! สังหาร ดับลมหายใจ พิฆาต สิ้นชี” Karn พล่ามอะไรที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่เหล่าเครื่องจักรกลับหันหน้าไปปรึกษากัน ก่อนที่จะพยักหน้า

“ข้าเห็นควรเช่นที่ท่านเสนอ ตัวแทนจากแต่ละคณะน่าจะเพียงพอขอรับ” เครื่องจักรตัวเดิมตอบกลับ ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง

เพียงไม่นาน ก็มีตัวแทนของสองคณะเข้ามาพบกับ Karn

เครื่องจักรทั้งสองมองกันและกันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรต่อกันเท่าใดนัก

หนึ่งในนั้น แนะนำตัวเองว่า เป็นนักบวชตัวแทนจากคณะรัฐมนตรีแห่ง Norn

ร่างของมันมีความคล้ายคลึงกับเครื่องจักรตัวแรกที่พูดคุยกับ Karn เมื่อครู่

ร่างที่ประกอบไปด้วยชั้นกล้ามเนื้อที่ผสานเข้ากับแผ่นเกราะสีขาว คล้ายกับเครื่องกระเบื้องดินเผา

 

 

ส่วนอีกหนึ่งเครื่องจักร มันแนะนำตัวว่าเป็นนักโบราณคดี ตัวแทนจากคณะขุนนาง Kraynox

ร่างของมันช่วงแตกต่างกับเครื่องจักรตัวแทนของ Norn

มันเต็มไปด้วยชิ้นส่วนที่ถูกประกอบสร้างอย่างไร้ความสมดุล แผ่นเหล็กสีดำที่ประกบกันไปมา เพียงเพื่อให้ตัวมันทำงานได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

“เป็นเกียรติอย่างสูงที่ให้ตัวแทนผู้ต่ำต้อยอย่างข้าได้เข้าพบขอรับ” เครื่องจักรตัวแทนของ Norn กล่าวขึ้น “ข้ามีข่าวไม่สู้ดีนักจะมาแจ้งให้ท่านทราบ”

“พวกเราก็มีข่าวร้ายมาแจ้งท่านเช่นกัน” ตัวแทนของ Kraynox เสริม

“พวก Mirran เริ่มมีการเคลื่อนไหว และจัดแนวป้องกันแล้วขอรับ” ตัวแทนของ Norn พูดขึ้นก่อน “แม้ว่ามันจะดูไม่มีอันตรายใดๆ แต่มันจะอาจจะทำให้แผนการใหญ่ของพวกเราเปลี่ยนแปลงได้ขอรับ”

Jin-Gixtaxias มันเป็นกบฏ!” ตัวแทนของ Kraynox เปิดประเด็นอย่างเผ็ดร้อน “กลุ่มของมันไร้ความซื่อสัตย์ พวกมันไม่ให้ความเคารพในวาจาสิทธิ์ของท่าน เฉกเช่นเหล่านายขุนนางของข้า... พวกเรามีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า Jin มันกำลังทำอะไรแปลกๆ บริเวณป้อมปราการของขุนนาง Geth

“ชำระล้างคามผิ” Karn ตอบออกมา

“นอกจากนี้ ไอ้ Jin มันยังคอยสอดส่องทุกๆ อิริยาบถของท่านด้วยนะ... ข้าเชื่อว่าแม้แต่ในห้องแห่งบัลลังก์แห่งนี้ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของมันไปได้” ตัวแทนแห่ง Kraynox เสริมขึ้น

“ท่าน Norn ขอเสนอให้ท่านเดินทางขึ้นไปยังชั้นพื้นผิวให้เร็วที่สุด” ตัวแทนของ Norn กลับไปเสนอประเด็นของตนเอง “ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ควรจะกวาดล้างเหล่า Mirran นอกรีตที่สุดขอรับ”

“หยุดทำตัวโง่เง่าได้แล้ว” เสียงในหัวของ Karn ดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “เลิกฝืนตัวเอง เจ้าคือบิดาแห่งเครื่องจักรทั้งปวง!”

Jin-Gixtaxias กำลังแพร่คำลวงถึงตัวท่านนะ ถ้าท่านยังไม่ตัดสินใจอะไร มันจะเป็นผลร้ายต่อตัวท่านเอง” ตัวแทนของ Kraynox พูดออกมา

“ท่าน Norn เห็นด้วยในกรณีที่เจ้ากล่าวมา” ตัวแทนของ Norn เสริม “ท่าน Norn น้อมรับคำประกาสิทธิ์จากท่าน Karn เสมอ... แต่ในเวลานี้ การกำจัดเหล่าผู้ไร้ศรัทธา... กำจัดพวก Mirran ให้สิ้นซาก แล้วนำทรัพยากรของพวกมันมาใช้ เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดขอรับ”

“ในตอนนี้พวกเราทั้งสองต่างเห็นถึงภัยร่วมกัน” ตัวแทนจาก Kraynox กล่าวเสริม “ขอเพียงท่านตัดสินใจสิ่งที่ท่านมองว่าสำคัญที่สุด... เพียงคำเดียวเท่านั้น!”

ในระหว่างที่เหล่าตัวแทนกำลังเสนอข้อมูลให้แก่บิดาของพวกเขา Karn กลับบ่นพึมพัมอะไรบางอย่างอย่างไร้ภาษา

แต่หลังจากสิ้นเสียงของตัวแทนแห่ง Kraynox ห้องแห่งบัลลังก์ก็กลับสู่ความเงียบเชียบอีกครั้ง

Karn แหงนหน้ามองเพดานเบื้องบนก่อนที่จะคำรามออกมา

 

“บุก!”

 

ตัวแทนของ Norn และ Kraynox หันมามองกันและกัน พวกมันรับรู้คำสั่งนั้น ทั้งคู่โค้งตัวคำนับ ก่อนที่จะออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน เพื่อไปแจ้งข่าวดีกับนายเหนือหัวของพวกมัน

และที่ลึกลงไป ใต้พื้นที่ Lumengrid แห่งทะเล Quicksilver

หน่วยจับตามองของ Jin ที่กำลังมองจอที่ถ่ายทอดมาจากห้องแห่งบัลลังก์ ต่างก็ปิติยินดีกับคำสั่งที่ออกมาจากปากของบิดาแห่งเครื่องจักร...

 

มหาสงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

 

“บุกโจมตี...” Karn กระซิบกระซาบกับตัวเอง “ข้า... ได้ออกคำสั่งที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว”

 

- สงคราม -

 

สงครามระหว่าง Phyrexian และ Mirran ได้ก่อตัวขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ

ชาว Mirran ที่รวมพลังกันอย่างเป็นปึกแผ่นสามารถต้านการโจมตีระลอกต่างๆ ของเหล่าเครื่องจักรกลได้เรื่อยๆ

แม้ว่าพวก Mirran จะบาดเจ็บ หรือสูญเสียไปบ้าง แต่สมดุลทางอำนาจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก...

แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้น ไม่ได้มาจากความสามัคคีของพวกเขา... แต่มันมาจากความแตกต่างของผู้นำเหล่า Phyrexian ต่างหาก

 

กาลเวลาที่ผันผ่าน ภัยร้าย Phyrexian ที่แอบซ่อนตัว และแพร่กระจายเชื้อร้ายไปทั่วทั้ง Mirrodin ก่อนที่ชาว Mirran จะได้พบเจอกับเหล่าเครื่องจักร Phyrexian ตัวเป็นๆ

เชื้อร้ายเหล่านั้น ได้ผูกสร้างตัวตนเข้ากับแหล่งพลังงานของ Mirrodin ไปเรียบร้อยแล้ว... พวกมันหลบซ่อนอยู่ที่ชั้นใต้ดินของแต่ละพื้นที่มานาที่ Memnarch เคยแบ่งสันปันส่วนเอาไว้...

 

- ลัทธิแห่งเครื่องจักร -

 

ภายใต้เขตมานาสีขาว อย่าง Razor Field ที่นี่มีการก่อตั้งศาสนาแห่งความเชื่อ “The Machine Orthodoxy”

ความเชื่อที่ว่าเมื่อทุกสิ่งจะรวมเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร หรือสิ่งมีชีวิตชีวะก็ตาม มันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น และต้องเป็นไป

พวก Phyrexian ในศาสนา “The Machine Orthodoxy” มันจะมีลักษณะที่โดดเด่นคือ ร่างกายที่ประกอบไปด้วยชั้นกล้ามเนื้อ ไร้ผิวหนัง ผสานเข้ากับแผ่นโลหะเหล็กสีขาวราวกับเครื่องกระเบื้อง

ผู้นำของความเชื่อ “The Machine Orthodoxy” คือผู้พิพากษา (Preator) Elesh Norn

 

- เครื่องจักรแห่งการวิวัฒน์ -

 

เขตมานาสีฟ้า อย่าง Quicksilver Sea สถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางแห่งองค์ความรู้คนานับ มีองค์กรที่ชื่อว่า “The Progress Engine”

ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างเครื่องจักรที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่ไม่เคยมีใครสร้างมันขึ้นมาได้ พวกมันจึงเป็นเหล่า Phyrexian ที่คลั่งไคล้ในงานวิจัย และการทดลองอย่างหาใครเปรียบได้

ผู้นำขององค์กร “The Progress Engine” คือคือผู้พิพากษา (Preator) Jin-Gixtaxias

 

- 7 ขุนนางจักรกล -

 

เขตมานาสีดำ Mephidross ที่ๆ เต็มไปด้วยความวิปริต เข่นฆ่า และการบังคับให้เป็นทาส ที่นี่ไม่ได้มีความเชื่อในการปกครองใดๆ นอกจากการแก่งแย่งกัน เพื่อก้าวสู่ความเป็น “บิดาแห่งเครื่องจักรทั้งปวง” เฉกเช่น Yawgmoth อดีตบิดาแห่งเครื่องจักรในยุคพันปีก่อน

ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจภายใน และเหลือเครื่องจักร 7 ตน ที่ถูกยกให้เป็นขุนนางแห่งจักรกล (The Seven Steel Thanes)

พวกมันทั้ง 7 สามารถควบคุม Phyrexian ตนใดก็ตามที่เชื่อมโยงกับมานาสีดำ และเป็นพวกไร้ซึ่งพลังอำนาจ

ซึ่งพวกขุนนางทั้ง 7 ต่างไม่ได้ผูกมิตรซึ่งกันและกัน

โดยขุนนางจักรกลทั้ง 7 ได้แก่

Sheoldred: ขุนนางแห่งความหยั่งรู้

ว่ากันว่า เธอคือขุนนางตนที่แข็งแกร่งที่สุด

เธอคือขุนนางแห่งข้อมูล และด้วยข้อมูลที่เธอมี ไม่ว่าจะใช้มันเพียงเพื่อข่มขู่ หรือใช้เพื่อวางแผน มันคือพลังที่เธอเชื่อมั่นว่า “เมื่อมีข้อมูลอยู่ในมือ คือการได้ปกครอง”

 

Geth: ขุนนางแห่งการต่อรอง

มันเป็นชื่อที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังได้มันมาผ่านการต่อรอง

Geth คือหนึ่งในชาว Moriok ที่ Karn เคยมอบหมายให้ดูแล Mirrodin ครั้งจบเรื่องวุ่นวายของ Memnarch...

กระนั้น ร่างกายสังเคราะห์ที่ Karn มอบให้ มันไม่สามารถเติมเต็มแรงปราศนาที่เขามีได้

เหล่า Phyrexian ได้มอบร่างกายใหม่ ที่คืนพลังอำนาจแห่งการควบคุม Phyrexian ชั้นล่างอย่างพวก Nim หรือ Vampire ให้กับเขาอีกครั้ง

และนั่นมันก็เป็นข้อตกลงที่มากพอจะทำให้ Geth ได้ก้าวขึ้นมาเป็นขุนนางแห่งจักรกล เพราะสำหรับเขาแล้ว “ไม่ว่าใครก็ตาม ต้องมีเรื่องที่ติดค้างกับเขาเสมอ”

 

Azax-Azog: ขุนนางปีศาจ

นอกจากร่างกายที่ใหญ่โตแล้ว รูปร่างที่สร้างความสพรั่นพรึงให้แก่ผู้พบเห็น มันก็ยังใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นอาวุธ มันคือเครื่องจักรกลที่เล่นกับความหวาดกลัวของผู้คน และนั่นก็คือพลังอำนาจของ Azax-Azog

ตราบใดที่ความกลัวเข้าครอบงำจิตใจของเหยื่อ มันจะทำลายความคิด สติ และร่างกาย “เพื่อให้ความกลัวได้กำเนิดขึ้น ในจิตใจของทุกสิ่ง”

 

Roxith: ขุนนางแห่งซาก

Roxith คือผู้ที่ยึดมั่นในหนทางแห่งเครื่องจักร เขากลายเป็นขุนนางที่เกลียดเนื้อหนังของสิ่งมีชีวิต... แม้แต่ผิวหนังของตัวเขาเอง

Roxith แล่เนื้อ และอวัยวะของตัวเองออก และทดแทนมันด้วยเครื่องจักรกลทั้งหมด

และไม่ว่า Phyrexian ตนใด ถ้าหากมีผิวหนังให้เขาเห็น เขามองว่านั่นคือความไม่บริสุทธิ์และมนทินแห่งจักรกล เขายินดีที่จะแล่มันทิ้งให้ เพื่อให้กำเนิด “เครื่องจักรอันบริสุทธิ์”

 

Kraynox: ขุนนางแห่งห้วงลึก

Kraynox สร้างฐานพลังอำนาจจากการสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่าง Mycosyth ที่เป็นฐานรากของชั้นใต้ดินแห่ง Mirrodin

และด้วยความสามารถของเขา ชื่อเสียง และอำนาจของเขา จึงเป็นที่เลื่องลือในเหล่า Phyrexian ชั้นสูงที่อาศัยอยู่ใต้ดินมากกว่า เป้าหมายของเขาคือการ “สร้างสิ่งที่เคยเป็น” ตามเป็นฉบับของดาว Phyrexia ดวงแรก
 

[ดาว Phyrexia ดวงแรก คือดวงดาวที่ Yawgmoth สร้างขึ้น มันเป็นดวงดาวที่มีโครงสร้างเป็นชั้นต่างๆ ถึง 9 ชั้น]

 

Vraan: ขุนนางแห่งเลือด

Vraan เป็นขุนนางที่มีจุดกำเนิดจากการเป็น Vampire ที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยน้ำมัน Phyrexian

เขาคือผู้ชำนาญการลอบสังหาร นั่นทำให้งานการลอบสังหารจาก Phyrexian แทบจะมาจากองค์กรที่เขาจัดตั้งทั้งหมด

และด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัว ที่เขาพร้อมจะจัดการกับใครก็ตามที่มาขวางทางเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ก็ตาม “ความตายแด่ศัตรู” จึงเป็นคำที่เหมาะสมกับขุนนางตนนี้มากที่สุด

 

Thrissik: ขุนนางแห่งบทกวี

แม้ว่าฉายาของเขาจะดูสุนทรีย์มากเพียงใดก็ตาม แต่สำหรับ Thrissik แล้ว “การทำลายทุกอย่าง แล้วสร้างขึ้นใหม่” คือความปรารถนาสูงสุดของเขา

เขาเชื่อว่า Phyrexian จะต้องล่มสลายด้วยฝีมือของผู้ทำลายล้างซักคนหนึ่ง... แต่การล่มสลายของมัน จะต้องตามมาด้วยการสร้างใหม่

เพราะมันจะมีประโยชน์อันใด ถ้าทุกอย่างถูกทำลายลงอย่างไร้ปรานี

ผู้ถูกทำลายย่อมสูญสลาย

ผู้ทำลายไม่ได้อะไรกลับมา

แต่ถ้าผู้ถูกทำลายได้ส่งต่ออะไรบางอย่างให้แก่ผู้ทำลาย

การวิวัฒน์แห่งวัฏจักรจะหมุนเวียนไปสู่การพัฒนาอย่างไร้จุดจบ

 

และด้วยเหตุนี้ การปกครองในเขต Mephidross นั้น ไม่มีผู้นำสูงสุดอย่างเป็นทางการ เพราะเหล่าขุนนางจักรกลทั้ง 7 ก็มักจะมีแผนที่จะคอยโค่นล้มขุนนางตนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งวางเป้าหมายให้ตนเองก้าวไปเป็นบิดาแห่งเครื่องจักรเลยด้วยซ้ำ

 

- โรงถลุงเหล็กอันเงียบเชียบ -

 

ที่เขตมานาสีแดง อย่าง Oxidda Chain มันเชื่อมโยงไปยังชั้นเตาเผาใต้ดิน ที่นั่นยังคงเป้าหมายดั้งเดิมของมัน... โรงถลุงเหล็กที่คอยผลิตเครื่องอาวุธให้กับทั้ง Phyrexian และ Mirran...

ใช่แล้วครับ! ที่นี่ ทั้ง Phyrexian และ Mirran ไม่ได้มีสงครามเหมือนในชั้นพื้นผิว พวกเขา “The Quiet Furnace” ไม่ได้สนใจจะติดต่อ หรือผูกมิตรกับองค์กรใดๆ

ผู้นำของเขตนี้คือ Urabask แม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานะเป็นผู้พิพากษา (Preator) เช่นเดียวกับผู้นำในองค์กรอื่นๆ แต่ด้วยเงื่อนไขที่พวกเขาไม่ติดต่อกับองค์กรอื่นๆ ทำให้ไม่มีใครสนใจ และรับรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันแน่

 

- ฝูงปีศาจนักล่า -

 

เขตมานาสีเขียว อย่าง Tangle คือพื้นที่แห่งวัฏจักรนักล่า ที่นี่ทุกสิ่งอย่างเคยเป็นไปตามธรรมชาติ จนกระทั่งเชื้อร้ายของ Phyrexian เข้าครอบครอง

ความโหดร้ายของมันก็ทวีคูณขึ้นไปอีก

เมื่อผู้นำอย่างผู้พิพากษา (Preator) Vorinclex สัตว์อสูร Phyrexian ร่างยักษ์ ได้เข้ามาเป็นผู้ล่าในพื้นที่เสียเอง

แม้ว่าพวก "The Vicious Swarm" จะมีแนวความคิดเหมือนๆ กับภาคส่วนอื่นๆ ของ Phyrexian ที่ว่า เครื่องจักรนั้น ถือเป็นขั้นต่อไปของการวัฒนาการ แต่พวกเขา กลับเชื่อในการวิวัฒน์ผ่านทางกระบวนการของธรรมชาติ

ผู้แข็งแกร่ง คือผู้ที่อยู่รอด และนั่น ก็ทำให้พวกเขาไม่ได้ใส่ใจที่จะบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นอกจากการล่า และปล่อยให้เชื้อ Phyrexian แพร่กระจายไปในพื้นที่เท่านั้น

 

- สมดุลอำนาจที่เปลี่ยน -

 

สงครามภายในของ Phyrexian ในแต่ละภาคส่วนนั้น ยังคงไม่ยุติ ไม่ว่าจะเป็น 7 ขุนนางแห่ง Mephidross ที่แย่งชิงอำนาจกันเอง

หรือจะเป็น The Progress Engine ที่กังวลกับความลับของ The Quiet Furnance ก็ตาม

กระนั้น ผู้นำสูงสุด ที่เป็นบิดาแห่งเครื่องจักรทั้งปวง ก็ยังเป็น Karn

 

Karn ผู้ที่ถูกใช้ประโยชน์จากการถูกเปลี่ยนแปลงโดยน้ำมัน Phyrexian ในหัวใจของเขาเอง

ตอนนี้ Karn ได้ดำดิ่งสู่ความคลุ้มคลั่งไปเสียแล้ว

และกลุ่ม The Machine Orthodoxy คือผู้ที่ใช้ประโยชน์จาก Karn ได้มากที่สุด

เมื่อพวกเขาคือกลุ่มที่ใกล้ชิดกับ Karn มากที่สุด

คำพูดใดๆ ที่ออกมาจาก Karn มันถูกบิดเบือนให้เป็นไปตามที่ Elesh Norn ต้องการ

ซึ่งนั่น ยิ่งทำให้ปัญหาระหว่าง The Machine Orthodoxy กับกลุ่มที่ลึกๆ แล้ว เกลียดบิดาจอมปลอม (Karn) อย่างพวก The Seven Steel Thanes เป็นทุนเดิม ยิ่งใฝ่หาหนทางที่จะโค่นล้มอำนาจของ Karn ลง และแย่งชิงกันขึ้นเป็นบิดาแห่งเครื่องจักรตนใหม่

กระนั้น ช่วงเวลาแห่งสงครามระหว่าง Phyrexian กับ Mirran ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักที่จะก่อการปฏิวัติในตอนนี้ เหล่า The Seven Steel Thanes จึงจำต้องร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ ของ Phyrexian เพื่อกวาดล้างชาว Mirran ไปเสียก่อน

 

 

ทางด้านของ Venser และ Elspeth ที่โดน Phyrexian จับตัวไป ก่อนที่พวกเขาจะได้พบกับอนาคตที่วิปริตเกินคาดหวัง ทั้ง Koth และ Melira ก็กลับมาช่วยได้ทันเวลา

พวกเขาหนีลึกเข้าไปภายในชั้นใต้ดิน ก่อนที่จะถูกขัดขวางโดย Elf ครึ่ง Phyrexian ที่แข็งแกร่งมากๆ

ทว่า การปะทะระหว่างกลุ่มของ Venser และ Elf ครึ่ง Phyrexian ตนนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อ Tezzeret กลับมาอีกครั้ง เขาเข้ามาขัดขวาง Elf ตัวนั้นด้วยกองทัพ Phyrexian ของเขา!

 

แม้ว่ามันจะสร้างความประหลาดใจให้กับ Venser, Koth, Elspeth และ Melira แต่พวกเขาก็ไม่มีเวลาจะสอบถามอะไร พวกเขาหนีลึกเข้าไปจนถึงห้องแห่งบัลลังก์ได้สำเร็จ

 

ร่างโลหะสีเงินแวววับสะท้อนแสงอันริบหรี่ที่ชั้นใต้ดิน ถูกเชื่อมร่างติดกับบัลลังก์อย่างไร้สติ

Venser ที่เหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาได้บอกกับเพื่อนร่วมเดินทางของเขา ว่านี่แหละ... นี่คือภารกิจที่พวกเขาอดทนทำกันมา...

เราพบ Karn แล้ว... และเราต้องช่วยเขา

 

Melira รีบเข้าไปใช้พลังของเธอเพื่อรักษา Karn

เพียงแค่เธอสัมผัสกับร่างของเขา คราบน้ำมัน Phyrexian ก็ค่อยๆ สลายตัวไป

ร่างของ Karn เริ่มแยกออกจากบัลลังก์ แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้สติเช่นเดิม...

 

“หัวใจของเขาถูกน้ำมันหลอมรวมไปแล้ว” Melira กล่าว “แม้ว่าพลังของฉันจะชำระล้างน้ำมันภายนอกได้ แต่หัวใจของเขามันเกินเยียวยาแล้วล่ะ”

“แล้วเราจะทำยังไง! Mirrodin จะจบสิ้นแล้วหรือไง!?!” Koth ไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

Venser ที่นั่งอยู่ตรงนั้น เขารู้ดีว่าตอนนี้ร่างกายของเขามาถึงจุดที่ไม่สามารถไปต่อได้แล้ว...

การสร้างสิ่งประดิษฐ์ และความใกล้ชิดกับ Powerstone ในสมัยที่เขายังเยาว์ มันกลับมาสร้างภาระให้กับเขาแล้ว

เมื่อรวมเข้ากับการต้องสัมผัสกับเชื้อของ Phyrexian ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่แล้ว... อาการป่วยที่ห่างหายไปนานจากหน้าประวัติศาสตร์ Dominaria ก็แสดงอาการอีกครั้ง...

Phthisis

 

ภารกิจที่ร่ำร้อง และร่างกายที่อ่อนล้าเกินเยียวยา ทำให้ Venser ตัดสินใจได้แล้วว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป...

ในเมื่อหัวใจของผู้สร้างไม่สามารถเยียวยาได้... เราก็แค่เปลี่ยนหัวใจออก...

 

Venser ใช้พลังย้ายสสารของเขา สลับที่ระหว่างหัวใจสังเคราะห์ของ Xantcha ที่อยู่ในตัวของ Karn กับหัวใจของเขา

หัวใจที่อัดเน้นไปด้วยความเคารพ และพลัง Spark ของ Venser ถูกส่งเข้าไปเรียกสติ และปลุกพลัง Spark ของ Karn

Venser สิ้นใจพร้อมๆ กับพลังเวทย์มนต์ที่หมดลงของเขา

 

Spark ของ Karn ที่เขายอมสละมันไปตั้งแต่ตอนปิดรอยแยกในมิติเวลา... ทำให้เขาไม่สามารถกลับมายัง Dominaria ได้ เขาล่องลอยใน Blind Eternity ตามสัญชาตญาน... มันส่งให้เขากลับมาที่ Argentum ดวงดาวที่เขาหวังสร้างให้มันเป็นดวงดาวที่สมบูรณ์แบบ

 

ในตอนนี้ ดวงดาวของเขาถูกแปรเปลี่ยนให้วิปริตไปเกินกว่าที่เขาจะรับได้

การเสียสละของหนึ่งในบุคคลที่ Karn ยกย่องให้เป็นดั่งเพื่อน และลูกศิษย์ แม้อาจจะทำให้เขาโศกเศร้า... แต่กระนั้น ภารกิจของพวกเขาก็ยังไม่จบ... มันยังมีสงครามที่รอพวกเขาอยู่

 

- การจากลา -

 

แต่ในเวลาเดียวกันนี้ Karn กลับเลือกที่จะเดินทางออกไปจาก Mirrodin อีกครั้ง... เขาเชื่อว่าการเดินทางในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาอาจจะเป็นผู้ที่นำเชื้อร้ายอย่าง Glistening Oil ไปแพร่ระบาดที่ดาวดวงอื่นๆ

และเขาจะต้องตามไปจัดการทำลายล้างให้สิ้นซาก... และเหมือนกับว่า เขาจะหมดหวังในดาวดวงนี้แล้ว...

 

การปลดปล่อย Karn จากบัลลังก์และความวิปริตในจิตใจของเขา กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ส่งผลดีอย่างที่ Venser คิดไว้

นอกจากเขาจะทอดทิ้ง Mirrodin ในเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว การขาดผู้เป็นดั่งบิดาของเครื่องจักรทั้งมวลไป

ทำให้เหล่า Phyrexian จึงได้จังหวะที่จะแต่งตั้งพระบิดาองค์ใหม่...

ความขัดแย้งภายในระหว่าง Phyrexian ที่เคยช่วยชะลอความรุนแรงของสงคราม กลับอันตรธานหายไปเป็นการเปิดหน้าสู้กันตรงๆ

และผู้ที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด ก็ยังเป็น The Machine Orthodoxy กลุ่มเครื่องจักรคลั่งศาสนาที่คอยใช้ประโยชน์จากความวิปริตในจิตใจของ Karn มาตั้งแต่ต้น

พวกเขาภายใต้การนำทัพของ Elesh Norn ที่คาดหวังความเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้เริ่มกวาดล้างทั้ง Mirran และเหล่า Phyrexian ที่ความคิดเห็นไม่ตรงกับพวกเธอ

 

 

Urabask ผู้นำแห่ง The Quiet Funance คือเหยื่อรายแรกของการเถลิงอำนาจโดย Elesh Norn

พื้นที่ของเขาถูกเหล่า Phyrexian หน้ากากขาวโจมตีอย่างไม่ได้ตั้งตัว นั้นเป็นเพราะ Urabask ไม่ได้สนใจที่จะกวาดล้างชาว Mirran ตั้งแต่แรก รวมถึงความลึกลับในเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเขาที่ไม่อาจคาดเดาได้

หลังจากการบุกโจมตี ไม่มีใครทราบว่าชะตากรรมของ Urabask เป็นเช่นไร แต่ชาว Mirran บางส่วน สามารถหลบหนีการโจมตีของ Elesh ไปได้

 

แม้ฉายาขุนนางแห่งข้อมูลจะเป็นชื่อของเธอ แต่ Sheoldred ก็กลายเป็นเหยื่อในการแสดงอำนาจของกองกำลัง The Machine Orthodoxy รายต่อไป

เป็นที่แน่นอนว่า ในภูมิภาค Mephidross บรรดาขุนนางจักรกลทั้ง 7 ไม่ได้ถูกกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นั่นทำให้ไม่มีใครทราบชะตากรรมของ Sheoldred หลังจากถูกโจมตี

และว่ากันว่า เป็น Geth ที่ขึ้นมาเป็นอำนาจใหม่ของเหล่า 7 ขุนนาง

กระนั้น กลุ่ม The Seven Steel Thanes นั้น เป็นกลุ่มที่มีความขัดแย้งกับกลุ่มอื่นๆ อยู่เสมอๆ

เนื่องด้วยพวกเขาต่างต้องการจะก้าวขึ้นมาเป็นบิดาแห่งเครื่องจักรอยู่แล้ว... ไม่รวมว่าพวกเขาบางคนเกลียด Karn มาเป็นทุนเดิมอีกด้วย

 

และหลังจากการแสดงอำนาจของ The Machine Orthodoxy กลุ่มต่างๆ ของ Phyrexian ก็พบว่ามันเริ่มไร้ประโยชน์ที่จะมาห้ำหั่นกันเอง พวกมันจึงเตรียมตัวที่จะจัดการเฟ้นหาบิดา หรือมารดาแห่งเครื่องจักร ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดแทนที่ Karn และจัดการเรื่องวุ่นวายจากชาว Mirran ที่ลดน้อยถอยลงไปทุกทีให้สิ้นซากเสียที

 

- New Phyrexia -

 

สายลับของ Mirran ได้ข่าวเรื่องการประชุมของเหล่าผู้พิพากษา (Preator) แห่ง Phyrexian และนั้น ก็ทำให้พวกเขาได้แผนการบุกโจมตี ที่อาจจะเปลี่ยนผลของสงครามได้เลยทีเดียว...

Koth และ Elspeth ได้สร้าง Spell Bomb ที่มีอานุภาพรุนแรงขึ้นมา พวกเขาจะบุกเข้าไปเพื่อระเบิดศูนย์กลางแห่งห้องประชุมนั้นเสีย...

 

ในวันที่แผนพวกเขาจะต้องเริ่มต้นขึ้น... มันก็เป็นวันเดียวกัน ที่แผนนั้นจะจบลง

เมื่อการบุกเข้าสู่ใจกลางของ Mirrodin ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

เหล่าทหารกล้า และผู้เสียสละของ Mirran ต่างถูกเครื่องจักรปริมาณมหาศาลเข้าถาโถมและสังหารจนสูญเสียกำลังรบไปอย่างมากมาย

 

สุดท้ายแล้ว มันเหลือแค่ Koth, Elspeth และ Spell Bomb อีกหนึ่งลูก...

การจุดระเบิด Spell Bomb ก็คงไม่แคล้วว่าต้องมีผู้เสียสละ...

 

Koth ชายผู้ที่กำเนิดที่ Mirrodin

ผู้กล้าที่รักดวงดาวบ้านเกิดของเขา

แต่เขาก็เป็นผู้ที่ดึงผู้คนมากมายเข้ามาพบกับเรื่องวุ่นวาย...

เขาเลือกที่จะเป็นผู้กดระเบิด เขาไล่ให้ Elspeth ใช้พลัง Planeswalk ออกไปจากที่นี่...

 

Elspeth หญิงสาวที่กลับมาภาคภูมิในเกียรติแห่งอัศวินของเธอได้อีกครั้ง...

การหนีไปในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เธอไม่ต่างจากคนที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด... คนขี้ขลาด

เธอจะไม่หนีอีกแล้ว เธอดื้อดึงที่จะอยู่กับ Koth ในช่วงเวลาสำคัญครานี้

 

 

แต่ Koth กลับใช้พลังของเขา ตรึงขาของ Elspeth ให้เธอไม่สามารถขยับไปไหนได้ ก่อนที่จะสร้างกำแพงขึ้นมา ขวางระหว่างเธอกับจุดวางระเบิด เพื่อป้องกันไม้ให้เธอได้รับอันตรายจากมัน

กำแพงศิลาที่ปิดกั้นระหว่าง Elspeth กับ Koth มันกลายเป็นกับดักที่ทำให้ Elspeth ติดอยู่กับบรรดาเครื่องจักรสังหารที่ตามล่าพวกเขาทั้งสอง

มันกระโจนเข้าใส่ Elspeth ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกนัก

การโจมตีของมันรุนแรงจนทำให้เธอได้รับแผลฉกรรจ์

ในจังหวะเดียวกัน เสียงระเบิดจากอีกฟากของกำแพงก็ดังขึ้น

บาดแผลที่รุนแรงเพราะเธอไม่สามารถปัดป้องได้ทัน ทำให้สติของเธอเลือนราง

Elspeth จึง Planeswalk ออกไปตามสัญชาตญานของเธอ พร้อมกับภาพสุดท้ายที่เธอเห็น กำแพงศิลาที่กำลังระเบิดออกจากแรงระเบิดที่รุนแรงของ Spell Bomb ลูกนั้น...

 

- เราจะอดทน -

 

Koth รอดออกมาจากแรงระเบิดได้ ด้วยการสร้างเกราะศิลามาปกป้องตัวเขาเอง ก่อนที่จะหนีออกไปทางปล่องที่เชื่อมไปยังชั้นเตาเผาได้ทันเวลา

Koth หลบหนีออกไปถึงยังชั้นพื้นผิวอีกครั้ง เขาจัดตั้งค่ายอพยพชาว Mirran กับ Melira ที่ตอนนี้ได้ Thrun ผู้ซึงเป็น Troll มาคอยดูแลเธอ

ค่ายอพยพแห่งนี้ มีชื่อว่า Seedling

ชื่อเดียวกับนิทานเรื่องราวแห่ง Argentum ครั้งก่อน ที่ถูกเล่าขานจาก Thrun ผู้ที่เป็น Troll เพียงตนเดียว ที่ไม่หายไปจากเหตุการณ์ Vanishing... และเป็นเพียงคนเดียว ที่รู้เรื่องราวทั้งหมดกว่า 4,000 ปี ของ Argentum

 

สำหรับ Thrun แล้ว... ความหวังสุดท้ายของชาว Mirran คือ Melira...

ความหวังที่จะเปลี่ยนให้ New Phyrexian กลับมาเป็น Mirrodin ดั่งเดิม