- สงครามแห่ง Kaldheim -

 

ณ อาณาจักร Bretagard อาณาจักรของเหล่ามนุษย์แห่ง Kaldheim

 

กลุ่มควันที่มาจากการเผาฟืนเพื่อความอบอุ่น ลอยขึ้นพ้นปล่องไฟจากสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ภายในป้อมปราการ Beskir ที่ตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ของเขต Feltmark

เหนือขึ้นไปจากกลุ่มควันเหล่านั้นควัน ยังมีกาสายพันธุ์ Raven อีกตัวหนึ่งกำลังโบยบินอยู่

เขาว่ากันว่า สัตว์ประเภทกา สามารถบินได้วันละหลายๆ กิโลเมตร... ซึ่งก็ไม่ต่างจากสิ่งที่กาตัวนี้กำลังทำอยู่

มันบินผ่านแถบเทือกเขา และพบว่าเหล่า Tuskeri ชนเผ่าเจ้าสำราญ กำลังปะทะกับพวกยักษ์ไฟจากอาณาจักร Surtland

เหล่าชนเผ่า Skelle ที่ละทิ้งหลักปฏิบัติตน กำลังทำพิธีบูชายัญด้วยเลือด และรวบรวมกำลังพล

 

ดวงตาอันดำขลับของกาตัวนี้ เหมือนมันจะซ่อนเรื่องราวปริศนามากมายเอาไว้ เดินทางมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางของแม่น้ำที่หล่อเลี้ยง Bretagard ก่อนที่มันจะร่อนลงที่หลังคาของบ้านหลังหนึ่ง ในป้อมปราการของชนเผ่า Beskir

ท่ามกลางเสียงอันวุ่นวายของการตีดาบ ลับอาวุธ เพื่อเตรียมพร้อมรับสงครามที่กำลังจะมาถึง กาตัวนั้นก็ยังได้ยินเสียงคนสองคนกำลังเดินไปพลาง คุยไปพลาง

 

“เราเสียพื้นที่ทางตะวันออกไปแล้ว... ไม่นานทั้งป่า Aldergard ได้ถูกทำลายหมดแน่ๆ” เสียงจากชายที่ดูมีอายุมากกว่า ผมและเคราของเขามีสีขาวโพลนราวกับหิมะ ตัดกับเสื้อผ้าที่ดูมอซอ และหม่นไปด้วยรอยเปรอะเปื้อน เขาแบกโล่ไว้กลางหลังของเขา “ข้าไม่เคยเห็น Troll จำนวนมากมายขนาดนี้ที่ป่า Aldergard... ไม่รวมว่าพวกมันร่วมมือกันเข้าปะทะพวกข้าอีก”

“พวก Kannah กลัว Troll Hagi เนี่ยะนะ? 555” ชายอีกคนที่อายุน้อยกว่า พูดตอบกลับ “เผ่าข้าเพิ่งจะสอยพวกมารร่วงไปตัวหนึ่ง พวกวัยรุ่นในเผ่ากำลังคึก แล้วออกล่าอีกตัวแล้วเนี่ยะ” นอกคำพูดสุดโอหังของเขาแล้ว ที่เหนือคิ้วของเขา ก็ยังมีเขี้ยวของสัตว์บางอย่างปักคาอยู่ ราวกับว่าสัตว์ตัวนั้นพยายามจะเขมือบหัวของเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ

“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เจ้าจะมาทำอะไรที่นี่” ชายชราคนแรกตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“ก็ตำแหน่งหัวหน้าชนเผ่า มันมีความรับผิดชอบที่ต้องทำนี่” ชายที่มีเขี้ยวฝังบนหัวยักไหล่ ราวกับไม่หยี่ระกับการประชดประชันของชายชรา

 

พวกเขาเดินมาที่โรงเรือนหลังหนึ่ง ทหารยามหน้าห้อง ยกหอกที่ไขว้กัน เพื่อเปิดทางอีกครั้ง ประตูเปิดออก เพื่อให้ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องภายใน

 

Arni ผู้คิ้วแตก (Brokenbrow) แห่ง Tuskeri และ Fynn ผู้ครองเขี้ยว (Fangbearer) แห่ง Kannah !” หนึ่งในทหารยามตะโกนเข้าไปในห้อง เพื่อให้ผู้คนภายในรับรู้ถึงการมาเยือนของแขก

 

ในห้องนั้น มีผู้นั่งรออยู่แล้ว 4 คน

  • Inga ตาอักขระ (Rune-Eyes) ผู้นำแห่ง Omenseekers
  • Sigrid ผู้ถูกเลือก (God-Favored) ผู้นำของ Beskir และเจ้าบ้าน

ส่วนอีกสองคน... สาวผิวเข้มแปลกหน้า กับ Elf ผมแดง... ที่สร้างความแปลกใจให้กับชายทั้งสอง

 

“มันมาทำบ้าอะไรที่นี่วะ !?!” Fynn ชายชราหยิบขวานของเขาเตรียมพร้อม และจ้องเขม็งไปที่ Elf ผมแดงตนนั้น

บรรดาทหารยามต่างวิ่งเข้ามาพร้อมป้องกันเหตุที่อาจจะตามมา

Sigrid ยกมือขึ้นห้าม ก่อนที่จะบอกให้ Inga แนะนำบุคคลแปลกหน้าในห้องให้ทั้ง Arni และ Fynn รู้จัก

 


Sigrid, God-Favored
 

“นี่คือ Tyvar แห่งอาณาจักร Skemfar และหญิงผู้นี้คือ Kaya แห่ง.... ที่ไกลโพ้น” Inga แนะนำทั้งคู่ให้หัวหน้าเผ่าอีกสองคนรู้จัก “พวกเขาเป็นพันธมิตรกับเรา”

“ไม่มี Elf ตัวไหนจะเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกับข้าได้หรอก... ยิ่งเป็นตัวพ่อ อย่างเจ้าชายของมันยิ่งแล้วใหญ่” Fynn บ่นออกมา

“ถ้าปล่อยให้พวก Elf เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ตามคำลวงของ Tibalt, พวกมนุษย์นั่นแหละ จะเป็นฝ่ายสูญเสีย และถ้าไม่มีข้า เจ้าคงจะเป็นคนที่พูดให้พี่ชายของข้าใจเย็นลงได้สินะ” Tyvar ตอบด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“ข้าพูดให้มันเย็นลงได้... เย็นจนลงไปนอนตัวเย็นเลยล่ะ” Fynn ยังคงแสดงความโกรธแค้นกับ Elf เช่นเดิม

“พอที!” Sigrid ตะโกนห้าม Fynn ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย Fynn ข้าเชิญเจ้ามาเพื่อหาทางรอด ไม่ใช่มาหาเรื่องแขกของข้า”

 

Fynn ที่ยังแสดงออกว่าไม่พอใจเท่าใดนัก แต่ก็ยอมที่จะนั่งลงเพื่อเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ก่อนที่ Arni จะตามมานั่งข้างๆ

“งั้นก็ถึงเวลาฟังแผน และออกผจญภัยพิสูจน์ความกล้าบ้าบิ่นแล้วสินะ... รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง” Arni พูดขึ้น... ราวกับไม่สนใจความเป็นความตายที่รอเขาอยู่ด้านนอกนั่น

Sigrid ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อ “ฝูง Troll, พวกมาร, ยักษ์... ทั้งยักษ์ไฟ และยักษ์น้ำแข็ง... ไม่รวมว่าตอนนี้มีรายงานว่าพวกกองทัพผีดิบจาก Karfell ก็กลับมาที่ Bretagard อีกครั้ง... แม้ว่าความเสี่ยงครั้งนี้มันสูงมาก... แต่เรายังพอมีหวัง”

“หวังอื่นนอกจาก Elf ปากมากอ่ะนะ” Fynn บ่นพึมพำ

“ใช่” Kaya พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน และดึงดาบผลึกแสงออกมาจากใต้โต๊ะ แสงของมันเรืองรองไปทั้งห้องประชุม ก่อนที่เธอจะวางมันลงกลางโต๊ะ

“นั่น... นั่นมัน...” Fynn ที่มีอายุมากแล้ว ยังตกตะลึงกับสิ่งนี้

“ดาบแห่งอาณาจักร (Sword of the Realms)” Sigrid พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

Koll ทำมันออกมาได้จริงๆ ว่ะเห้ย!” Arni แสดงความตื่นเต้นออกมาทางน้ำเสียง

“ใช่... และนี้คืองานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเขา... เรายังไม่รู้ว่าจะใช้งานมันอย่างไร” Sigrid ตอบกลับ
และคำตอบของเธอก็ทำให้ทั้งห้องตกสู่ความเงียบงัน

ก่อนที่ Fynn จะพูดขึ้นมา “ไอ้ดาบแร่ Tyrite มันสุดยอดก็จริง... แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีใช้งาน มันก็แค่ดาบธรรมดาๆ ที่ต่อให้มีมากกว่านี้อีกร้อยเล่ม ก็ไม่น่าจะหยุด Doomskar ได้”

“มีอยู่คนหนึ่งที่ใช้งานดาบเล่มนี้ได้” เสียงจากมุมมืดของห้องพูดขึ้นมา ชายชราในผ้าคลุมเดินออกมา ที่ไหล่ของเขามีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่ “เทพผู้คู่ควรกับดาบเล่มนี้... เทพที่ Koll ตั้งใจจะมอบให้... Halvar เทพแห่งสงคราม” เทพ Alrund เดินออกมาจากมุมมืดนั้น

 


Fynn, Fangbearer
 

และ Fynn ที่ไม่ได้เตรียมตัวจะพบกับเทพเจ้าแห่ง Kaldheim มาก่อนก็ถึงกับตกตะลึง

“เทพ Halvar คือความหวังของพวกเรา... แต่เราจะตามหาเขาได้ยังไงล่ะ?” Kaya พูดขึ้นมา

Arni ที่ดูเหมือนจะหายอึ้งได้เร็วกว่า Fynn ก็ลุกพรวดขึ้น และกลับเข้าสู่ความเป็นหัวหน้าชนเผ่า Tuskeri ทันที “แผนคือตามหาเทพ Halvar, งั้นก็ถึงเวลาแห่งการผจญภัยแล้วสินะ”

และกาของเทพ Alrund ก็ได้เบาะแสที่อยู่ของ Halvar มาพร้อมแล้ว... ตอนนี้เทพแห่งสงครามอยู่ไม่ห่างจากป้อมปราการ Beskir แห่งนี้ และ Alrund ก็เตรียมพร้อมพาหนะสำหรับหัวหน้าชนเผ่า และนักผจญภัยจากแดนไกลไว้แล้ว

 

ทีมนักผจญภัยแบ่งออกเป็นสองทีม... พวกเขาได้รับพาหนะที่ Alrund มอบให้ นั่นคือกาขนาดยักษ์ แผ่นหลังของอีกาเพียงพอที่จะพาพวกเขาไปได้คราละ 3 ชีวิต

ทางด้านของ Kaya ก็ได้เดินทางร่วมกับ Arni และ Tyvar

กาของพวกเขาพาทั้งสามบินไปยังเส้นทางที่ Hakka กาตัวเล็กที่คอยเกาะอยู่บนไหล่ของเทพ Alrund มอบหมายไว้

 

ภาพเบื้องล่างคือทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง ตัดด้วยแถบสีขาวของน้ำแข็งและหิมะ...

ไอเย็น และแถบน้ำแข็งที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่มันกลับมาจากรอยแยกของ Doomskar ที่เปิดให้อาณาจักร Karfell อันหนาวเหน็บ ส่งกองทัพคนตายเข้าโจมตี Bretagard อีกครั้งหนึ่ง

เหล่า Draugr หรือที่เข้าใจกันในชื่อ Zombie ต่างหลั่งไหลเข้าสู่ Bretagard อย่างไม่หยุดหย่อน ท้องทุ่งหญ้าที่เคยมีสีทอง แต่ตอนนี้เสมือนถูกปูด้วยพรมของศพคนตายสีดำ

และยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ ความแตกต่างของผีดิบแต่ละตัวก็เริ่มปรากฏ... พวกมันไม่ใช่ร่างของศพมนุษย์เท่านั้น แต่บางตัวมันคือ Troll สายพันธุ์ Torga ขนาดมหึมา... แต่ไม่ว่าขนาดจะแตกต่างกันแค่ไหนพวกมันก็มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน...

 

ปลายทางของพวกมันคือสะพานไม้สำหรับข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง มันเชื่อมไปสู่เกาะและหมู่บ้านเล็กๆ... ที่ยังคงปลอดภัยจากความวุ่นวายภายนอกทั้งหลายนั่น

ที่สะพานนั้น มีอีกร่างที่ยืนตระหง่าน และคอยจัดการผีดิบตัวใดก็ตามที่เข้าใกล้สะพานนั้น

เขาไม่ได้เปล่งแสงเรืองรองแฉกเช่น Alrund มันเป็นเพียงแสงอ่อนๆ กับร่างในชุดเกราะเท่านั้น แต่ Kaya ก็รับรู้ได้ทันที ว่านี่คือคนที่พวกเธอต้องตามหา

 

กายักษ์โฉบลงไปที่เป้าหมายทันทีที่ Kaya ตะโกนออกมา ราวกับมันจะเข้าใจภาษาของมนุษย์

แม้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนเวลา และส่งพวกผีดิบกลับไปยัง Karfell แต่ด้วยดาบแห่งอาณาจักรบนหลังของ Kaya และผู้ใช้งานที่แท้จริงอย่างเทพ Halvar ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

แต่ Tyvar ที่มาด้วยกัน กลับไม่ได้สนใจเป้าหมายที่กาตัวนี้กำลังพาเขาไป

 

เขาทำได้แค่ตะโกนบอก Kaya ให้ระวัง

เงามืดทอดตัวมาบดบังระหว่างกายักษ์ และพระอาทิตย์เหนือหัวของพวกเขา

เสียงของมีคม ตัดแหวกอากาศ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของกาที่พวกเขาใช้เป็นพาหนะ และร่างของทั้งสาม ที่ลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันว่างเปล่า

 

ภาพที่ Kaya เห็นคือ กาของพวกเธอปีกหัก และกำลังร่วงลงสู่พื้น ทั้ง Tyvar และ Arni ก็อยู่ในชะตากรรมไม่ต่างกัน แต่ที่เหนือขึ้นไป คือร่างที่เธอคุ้นเคย

ปีกทำมาจากหนัง เขามากมายบนหัวของมัน สีผิวที่ดูช้ำเลือดช้ำหนอง และขวานสองมือขนาดยักษ์...

Varragoth จอมมารจาก Immersturm กลับมาอีกครั้ง... ก่อนที่มันจะโจมตีกายักษ์ที่ขวางทางของมันอีกครั้ง

 


Varragoth, Bloodsky Sire
 

Kaya ที่กำลังร่วงอย่างไร้ทิศทางต้องหาทางรอดจากสถานการณ์นี้... พื้นเบื้องล่างคือแม่น้ำที่ไม่สามารถซับแรงกระแทกจากความสูงขนาดนี้ได้แน่นอน

Tyvar ผู้คล่องแคล่วก็ไม่สามารถใช้ความคล่องตัวของเขาเอาตัวรอดจากแรงดึงดูดไปได้

ทางด้านของ Arni เอง ก็ไม่ต่างกัน ถึงเขาจะชอบการผจญภัย แต่การร่วงลงไปกระแทกพื้น ไม่น่าจะนับเป็นการผจญภัยได้ด้วยซ้ำ

 

กระนั้นแผนของ Kaya ก็มาได้ทันเวลา เธอเข้าไปจับ Arni ก่อนจะบอกให้เขาเก็บแขน และพุ่งตัวไปหา Tyvar ที่อยู่ใกล้พื้นกว่าพวกเขา

เมื่อทั้งสามจับตัวกันไว้ได้ Kaya ก็ใช้พลังของเธอทำให้ทั้งสามร่างไร้สสาร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกระแทกพื้น

ทั้งสามจมลงไปในน้ำ ความมืด และความหนาวเหน็บเข้าจู่โจมร่างกายของ Kaya อย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ความหนาวเหน็บมันไม่ได้มาจากอุณภูมิของน้ำ... มันมาจากภายในร่างของเธอที่ใช้พลังไร้สสารมากเกินขนาด... ตอนนี้หัวใจของเธอหยุดเต้นไปแล้ว

สติของเธอสั่งให้เธอหยุดใช้พลังทั้งหมด และทำให้ทุกคนกลับสู่สภาวะปกติ

เมื่อเหตุการณ์แปรเปลี่ยนจากความตระหนกของการร่วงลงจากท้องฟ้า มาสู่ความสับสนในทิศทางอันมืดมิดใต้น้ำ Kaya, Arni และ Tyvar พยายามเกาะกลุ่มกัน แต่ก็เห็นเพียงแค่ความมืดมิด กับสายน้ำอันเชี่ยวกราก

ก่อนที่ Arni จะคว้ารากไม้ใต้น้ำเอาไว้ได้ และมันก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าพวกเขาใกล้ผิวน้ำมากพอ

Kaya ส่ง Tyvar ขึ้นไปบนฝั่งได้ ก่อนที่ทั้ง Kaya และ Arni จะขึ้นฝั่งตามไป

 


Arni, Brokenbrow
 

Tyvar ยังคงนอนอยู่ที่พื้น เขาดูเหมือนจะหายใจไม่ทัน

แต่พื้นที่ที่พวกเขาทั้งสามขึ้นมา กลับถูกรายล้อมไปด้วยฝูงผีดิบ กระนั้น พวกผีดิบเหล่านี้ก็เชื่องช้าเกินกว่าจะรับรู้การมาถึงของนักผจญภัยทั้งสาม

จนทำให้ทั้งสามสามารถเตรียมพร้อมตั้งรับพวกมันได้ทัน

Kaya ยังต้องป้องกันทั้งตัวเธอ และ Tyvar ที่ยังลุกไม่ขึ้น จนเธอต้องหันไปตะโกนให้เขารีบๆ ลุกขึ้นมา

แม้ว่าพวกมันจะเชื่องช้า แต่กองทัพผีดิบพวกนี้มันไหลมาจนไม่มีที่สิ้นสุด และสุดท้าย พวกมันอาจจะล้อมจนพวกเขาไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้

แต่ทางด้านของ Arni เขากลับสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ... จนแม้แต่ Kaya ยังอดคิดไม่ได้ ว่า Arni เคยเปลี่ยนตัวเองให้ไร้สสารมาก่อนหรือยังไง

Tyvar ที่พอจะลุกขึ้นมาได้แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เพราะ Arni ไล่ทั้งสองคนให้ไปที่สะพานไม้ อันเป็นเป้าหมายของภารกิจ

“พวกเจ้าไปซะ ข้าจะคอยป่วนเจ้าพวกนี้เอง... ถือว่านี่เป็นการตอบแทนที่ทำให้ตัวข้าโปร่งแสง แล้วตกมาไม่เจ็บล่ะนะ”

ฝูงผีดิบยังคงถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ... ความเสี่ยงของภารกิจครั้งนี้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ... ความหวังยิ่งริบหรี่... แต่ Arni คือชายที่พร้อมรับความเสี่ยงนั้น

 

Kaya ดึงตัว Tyvar ให้ออกไปจากที่นี่ เพื่อไปยังสะพาน...

แต่เส้นทางของพวกเขาก็ไม่แตกต่างจากเมื่อครู่เลย

ฝูงผีดิบที่บางตาลงเล็กน้อย และเหมือนพวกมันจะไม่ได้สนใจเสียงโครมครามที่ Arni ก่อไว้

ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ Kaya สามารถใช้พลังของเธอ และวิ่งทะลุพวกผีดิบที่เชื่องช้าพวกนี้...

ติดอยู่ก็ตรงที่ เธอใช้พลังของเธอไปมากมายในตอนที่ตกมาจากท้องฟ้า และ Tyvar ที่เธอหิ้วมา ก็อยู่ในสภาพไม่พร้อมเท่าใดนัก

 

ทั้งคู่จึงออกวิ่งสู่เป้าหมาย แม้จะต้องหยุดในบางจังหวะเพื่อกำจัดผีดิบแช่เย็นที่คอยขวางทางอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ยังคืบหน้าไปใกล้สะพานมากขึ้น

รอบๆ ตัวต่างเต็มไปด้วยเสียงของสงคราม ระหว่างชนเผ่าต่างๆ ของ Bretagard กับบรรดาผีดิบที่หลั่งไหลมาจากรอยแยก Doomskar ไม่หยุดหย่อน

และแล้ว ก็มีเสียงแตรศึก ดังกระหึ่มมาจากเส้นขอบฟ้า

เสียงที่ทำให้ Tyvar ชะงักงัน... “มันไม่ใช่เสียงแตรศึกของ Karfell...”

 

ที่เส้นขอบฟ้า มีอีกหนึ่งกองทัพเข้าสู้สนามรบ พวกเขาอยู่ในชุดศึกที่ประกอบไปด้วยโล่สีทองเหลือง แบบเดียวกับปลอกข้อมือติดมีดของ Tyvar บ้างก็ใช้อาวุธเป็นดาบ บ้างก็หอก...

กองทัพ Elf แห่ง Skemfar ได้มาถึงแล้ว

 

“Tyvar เราต้องไปแล้ว” Kaya พูดด้วยความเร่งร้อน... แต่ Tyvar ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม...

“Kaya... มนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวที่โดนความละโมบของ Tibalt เข้าครอบงำ... ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนของข้าต้องเข้าร่วมศึกที่ไม่ควรจะเกิด... ความสูญเสียที่ไม่ควรจะมี... และผู้นำทัพในครั้งนี้... คือ Harald พี่ชายของข้าเอง... ข้าคงเป็นคนเดียวที่พอจะเปลี่ยนใจเขาได้” Tyvar ตอบ

“งั้นก็ไปเถอะ” Kaya นับถือหัวใจของ Tyvar ที่เขามองประชาชนมาก่อน

“แล้ว... เจ้าจะไหวมั้ย?” Tyvar ถาม Kaya ด้วยความเป็นห่วง

“นี่... ฉันได้ฉายานักล่าผีเชียวนะ เรื่องแค่นี้สบายมาก” Kaya ยิ้มตอบ

ส่วน Tyvar ก็พยักหน้า และรีบวิ่งออกไปยังกองทัพของ Skemfar

 

มันก็จริงอยู่ ที่ Kaya ได้ฉายานักล่าผี... เพียงแต่ปกติผีที่เธอล่าเป็นอาชีพ มันจะอยู่ในรูปแบบของพวกวิญญาณ มากันเป็นตัวใสๆ ไม่ใช่พวกผีดิบที่มาพร้อมกับร่างอันเน่าเหม็น และจำนวนมหาศาลขนาดนี้

ยิ่งเธอพยายามเข้าใกล้สะพานนั้นมากเท่าไหร่ ก็เหมือนระยะทางมันห่างออกไปเรื่อยๆ ความเหน็ดเหนื่อยเริ่มเล่นงานร่างกายของเธอ...

แต่เธอก็ไม่มีเวลาพักหายใจหายคอ ตอนนี้สิ่งที่ขวางทางเธออยู่ กลับเป็นผีดิบร่างมหึมา มันส่งกลิ่นของผักเน่า และแผลบริเวณซี่โครงที่เปิดให้เห็นแสงเรืองๆ สีฟ้าจากภายใน ดวงตาของมันจ้องเขม็งมาที่เธอ และพ่นควันออกมาจากปากของมันแทนการคำรามในแบบของ Torga Troll ทั่วๆ ไป

มันเริ่มขยับร่างเข้ามาหาเธออีกครั้ง แต่ก็มีเสียงสิ่งของกระทบกับผิวน้ำข้างๆ เธอ

เมื่อ Kaya หันไปมอง เธอก็เห็นภาพที่ชวนให้แปลกใจอยู่ไม่น้อย...

ปลาโลมาตัวหนึ่ง กระโดดอยู่กลางอากาศ ราวกับกำลังว่ายน้ำอยู่ ก่อนที่มันจะแปลงกายมาเป็นร่างของมนุษย์ และอยู่ข้างๆ เธอ

หญิงวัยกลางคน ในชุดแต่งกายด้วยผ้าคลุม และผมที่ปลิวไสวไปกับสายลม เธอไม่พูดอะไรซักคำ นอกจากยกแขนทั้งสองขึ้น ดวงตาของเธอเปล่งประกายเป็นแสงเรืองรองเช่นเดียวกับบรรดาเทพแห่ง Kaldheim ที่ Kaya เคยพบเจอ

และผืนน้ำด้านหลังหญิงคนนั้น ก็ก่อเกิดเป็นคลื่นขนาดมหึมา ที่ไม่ควรจะเป็นไปใด้กับน้ำในแม่น้ำแห่งนี้ คลื่นยักษ์นั้นมันโถมเข้าโจมตีผีดิบ Troll ตัวนั้นทันที... ไม่รวมว่าคลื่นนั้นยังพัดพาบรรดาผีดิบตัวเล็ก ตัวน้อยไปกับมันอีกด้วย

“ท่านเป็นใครกัน?” Kaya ถามไปยังหญิงที่เธอเชื่อว่า น่าจะเป็นอีกหนึ่งเทพีของ Kaldheim

หญิงคนนั้นปัดผมที่ปลิวมาบดบังใบหน้าของเธอไปทัดหู ดวงตากลับมาเป็นดวงตาของมนุษย์ทั่วๆ ไปอีกครั้ง “เจ้าเพิ่งโดยสารเรือของข้าไปเมื่อไม่นานมานี้... เป็นไงบ้างล่ะ?”

... Cosima เทพีแห่งท้องทะเลนั่นเอง... Kaya ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะนึกได้ว่าเธอต้องตอบคำถามของเทพี Cosima เสียก่อน “เอ่อ... ข้าได้โดยสารเพียงครู่เดียว... เลยตอบอะไรท่านมากไม่ได้”

“Omenskeel ออกจะเป็นเรือที่ขี้กลัวไปหน่อยน่ะนะ” Cosima พูดไปพร้อมทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “แต่ก็นะ Alrund ไม่ได้บอกให้ข้ามาเที่ยวเล่น” Cosima พูดพลาง ดึงดาบยาวออกมาจากผ้าคลุมของเธอ

“ข้าจะพาท่านไปหา Halvar” Kaya พยักหน้า และเริ่มออกเดินทางโดยมีเทพีแห่งท้องทะเลเป็นเพื่อร่วมทาง

 


Cosima, God of the Voyage กับ The Omenkeel เรือของเธอ
 

ตอนนี้บรรดาผีดิบทั้งหลายก็ไม่ต่างจากต้นข้าวที่รอให้สองสาวเก็บเกี่ยว พวกมันไร้ทางต่อกรกับเทพีแห่งท้องทะเลที่มีแม่น้ำเป็นอาวุธทรงพลังอยู่ใกล้มือ

และตอนนี้ Kaya ก็มองเห็นเทพ Halvar อยู่ที่สะพานไม้แห่งนั้นแล้ว...

แต่ก่อนที่พวกเธอจะได้เข้าไปใกล้กว่านั้น เงาทะมึนก็เข้ามาใกล้

Cosima ดึงร่างของ Kaya ออกมาจากขวานขนาดยักษ์ของจอมมารตัวเดิม... Varrogoth นั่นเอง

 

“มัน... มันไม่น่าจะมีปีกนี่” Cosima บ่นพึมพำ

“ดาบเล่มนั้น... มันเป็นของข้า...” Varrogoth พูดด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาขวา-“

ขวานของ Kaya ถูกซัดเข้าตัดเขาของ Varrogoth ก่อนที่จะปักคาอยู่ที่หน้าผากของมัน ที่รอยตัดของแผลนั้น มีของเหลวสีดำกำลังเดือดปุดๆ อยู่ ขวานอีกเล่มที่อยู่ในมือของ Kaya ก็โจมตีเข้าไปที่หัวเข่าของเจ้ามารร้าย

มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แต่มันไม่ใช่มารกระจอกที่การโจมตีแค่นี้จะทำให้หมดพลังลง มันพยายามคว้า Kaya ที่เข้ามาใกล้เกินระยะโจมตีของขวานยักษ์

แต่ Kaya เองก็คล่องแคล่วมากพอที่จะหลบการโจมตีเหล่านั้นได้... ไม่รวมว่าเธอเอาขวานเล่มแรกกลับมาจากหน้าผากของ Varrogoth ได้อีกด้วย

แต่ระยะที่ Kaya คิดว่าทิ้งห่างพอจะปลอดภัยนั้น เพียงการกระโจนเข้าโจมตีครั้งเดียวของ Varrogoth ก็ย่นระยะได้กว่าครึ่ง

แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ Kaya ได้เตรียมรับมือ เธออาศัยช่องว่างโจมตีกลับไปด้วยขวานทั้งสอง...

 

ทว่าแผลที่เพิ่มมาก็ไม่ได้ทำให้เจ้ามารร้ายช้าลงเลย มันยังสามารถโจมตีกลับมาได้ราวกับไม่บาดเจ็บ

ขวานยักษ์ของมันแหวกอากาศเฉียดหน้าของ Kaya ที่หลบไปด้านล่าง

การปะทะกันของเทพี มาร และมนุษย์ มีฉากหลังเป็นเหล่าผีดิบ กำลังมีแขกไม่ได้รับเชิญมาอีกมากมาย พวกมันสยายปีกที่ไม่ต่างจาก Varrogoth เพื่อร่อนลงมายัง Bretagard ตามหัวหน้ามารของพวกมัน... และขวางทางระหว่างพวกเธอกับ Halvar

กระนั้น พวกเธอก็ไม่มีเวลาไปใส่ใจกับกำลังเสริมของ Varrogoth เพราะแค่ตัวมันเอง พวกเธอก็ตึงมือมากพออยู่แล้ว

Kaya และ Cosima เดินเข้าปะทะกับ Varrogoth อีกครั้ง

Kaya กระโดดหลบวิถี่การโจมตีของขวานไปด้านบน ส่วน Cosima ก้มหลบไปด้านล่าง

แต่ขวานยักษ์เป็นอาวุธที่ไม่ได้อันตรายเพียงใบมีดของมันเท่านั้น ด้ามของมันก็อันตรายไม่แพ้กัน และ Cosima ที่ไม่ทันระวังก็โดนแรงกระแทกของมันไปเต็มๆ จนส่งเธอไปนอนกองกับพื้น

ส่วน Kaya ที่อยู่ตำแหน่งดีกว่า เธอได้โอกาสโจมตีด้วยขวานมือเดียวของเธอ ใบมีดของมันสับเข้าไปที่ไหล่ของจอมมาร... แต่มันก็หาได้แสดงอาการใดๆ ไม่

มันหันหลังมาขว้าข้อเท้าของ Kaya ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ แต่ก็จับได้เพียงความว่างเปล่า เมื่อ Kaya ใช้พลังของเธอแปลงร่างกายส่วนนั้นให้ไร้สสารได้ทันเวลา

แต่การใช้พลังแค่ช่วงสั้นๆ ก็ทำให้ Kaya รับรู้ได้ว่า เธอแทบจะไม่เหลือแรงในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว ความเหน็ดเหนื่อยมันส่งผลกับร่างกายของเธอมากกว่าที่เธอคิด...

 

ความคิดเก่าๆ กลับมาอีกครั้ง...

 

เธอ Planeswalk หนีออกไปจากที่ Kaldheim ได้นะ...

 

ใช่... เธอทำได้ แต่เธอจะไม่ทำมัน

 

 

มารตนอื่นๆ เริ่มรุกคืบเข้ามาหา Kaya เพื่อเป็นกำลังเสริมให้กับ Varrogoth

Kaya ย่อตัวลง เตรียมพร้อมที่จะกระโจนผ่านพวกมันไปสู่สะพาน... สู่เป้าหมาย... เทพ Halvar

แต่ความตึงเครียดก็ถูกขัดจังหวะโดยแตรศึกอีกครั้ง

เสียงของมันใกล้กว่าเดิมมาก และก็ตามมาด้วยเสียงของการปะทะกันทันที

เหล่า Elf เข้าโรมรันกับกองทัพผีดิบ และมารที่เหลือ ก่อนที่กองทหารส่วนหนึ่งจะเข้ามาตั้งพลขวางระหว่างเธอกับมารอีกตน

 

“ต้องการความช่วยเหลือมั้ย?” Tyvar กล่าวจากด้านหลังของ Kaya

เขานั่งอยู่บนหลังของสิ่งที่ดูคล้ายกวางเรนเดียร์ จะต่างก็ความสูงของมัน และรูปทรงที่ดูสง่างามกว่ากวางที่ Kaya เคยรู้จัก และข้างกายของ Tyvar ก็มี Elf อีกตนบนหลังกวางแบบเดียวกัน

เขาสูงและเพรียวกว่า Tyvar... หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ Elf ที่มีรูปร่างแบบที่หลายๆ คนคุ้นเคย ไม่ใช่ Elf ล่ำบึ้กแบบ Tyvar

เขามีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับ Tyvar และยังมีผมสีเดียวกันอีกด้วย

 

“Kaya ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จักกับ Harald กษัตริย์แห่ง Skemfar ผู้ผนึกกำลัง Elf ไม้ และ Elf เงา... และอีกฐานะก็คือ พี่ชายของข้าเอง” Tyvar พูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มยียวนของเขาออกมา

“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” Kaya ตอบ Harald ไป

แต่ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อ Varrogoth ก็ไม่รีรอ มันพุ่งเข้าชนกองกำลัง Elf ที่ ยืนเป็นแนวป้องกันอยู่ Elf ตนแรกถูกแรงกระแทกล้มลงก่อนที่จะโดนน้ำหนักของ Varrogoth เหยียบซ้ำจนขาดใจคาที่

เพียงการโจมตีกวาดขวานยักษ์ของมันครั้งเดียว ก็แสดงอานุภาพของอาวุธและพลกำลังมหาศาลของมารอย่าง Vorragoth และ Elf ผู้โชคร้ายตนหนึ่งที่ไปขวางทางขวาน ก็ถูกตัดร่างจนขาดครึ่ง ราวกับเป็นกระดาษที่โดนกรรไกรตัดผ่าน

แต่การโจมตีของ Varrogoth ก็แลกมาด้วยคมหอกของเหล่า Elf มากมายที่แทงทะลุเกราะของมันไป...

กระนั้น บาดแผลพวกนี้ก็ดูไม่ระคายผิวของมันเช่นเดิม มันยังคงวิ่งเข้าใส่ Kaya ด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงเลย ไม่รวมว่าพวกมารที่เหลือ เมื่อเห็นหัวหน้าเปิดแล้ว ก็ต้องตามอีกจำนวนหนึ่ง

Tyvar กระโดดลงจากหลังกวาง ใช้มือของเขาแตะไปที่ด้านหลังของเหล่า Elf ที่ยืนเป็นแนวป้องกัน ชุดเกราะของพวกเขาส่องแสงออกมา ก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปร่าง จนมีความหนามากขึ้น และเข้ารูปมากขึ้น และการโจมตีของมารก็ไม่สามารถทำอันตรายชุดเกราะที่ถูกแปรธาตุโดย Tyvar ได้อีกต่อไป

กองกำลัง Elf ที่เหลือก็เริ่มเข้ามาแทนที่แนวป้องกันที่โดนมาร และผีดิบโจมตีจนเสียท่าไปเรื่อยๆ และสร้างเวลามากพอให้บทสนทนาของ Kaya และ Harald ได้ดำเนินต่อ

 

“น้องชายของท่า-” Kaya กำลังจะพูดถึง Tyvar แต่ก็ยังไม่ทันจบประโยค

“เขาเป็นไอ้งั่งตัวหนึ่ง...” Harald ตอบทันควัน “ขี้โม้... แต่อย่างน้อย เขาก็ไม่ใช่คนโกหก... ข้าต้องขอบคุณที่เขานั่นช่วยไม่ให้ข้าต้องเข้าร่วมสงครามที่ไม่ควรจะเกิด”

“ข้าก็ต้องขอบคุณเขาสำหรับหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาเช่นกัน” Kaya ตอบ

“เจ้าต้องไปที่สะพานนั่นไม่ใช่หรือ?” Harald ถาม และยื่นมือให้กับ Kaya เพื่อขึ้นหลังกวาง

“แล้ว... Tyvar ล่ะ?” Kaya ถามด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองพื้นที่สงครามอีกครั้ง

 

Tyvar ที่กำลังปะทะกับ Varrogoth ด้วยท่วงท่าราวกับการเต้นระบำ และยังหาจังหวะโจมตีกลับได้อยู่เรื่อยๆ

“ข้าว่า เจ้านั่นกำลังสนุกอยู่ล่ะนะ” Harald ตอบ “คราวนี้เราควรจะต้องไปแล้วล่ะ” Kaya จับมือกษัตริย์ Harald และขึ้นบนหลังกวาง

มันออกตัววิ่งอย่างรวดเร็ว แต่ก็นิ่มนวล กระนั้น Kaya ก็ต้องคว้าเอวของ Harald เพื่อไม่ให้ตกลงไปก่อนจะถึงเป้าหมาย

ส่วนแขนข้างที่ว่างๆ ของเธอ ก็ใช้ขวานกำจัดเหล่าผีดิบที่อยู่ในระยะโจมตี

ก่อนที่เธอจะรู้ตัว กวางของ Harald ก็พาเธอมาถึงสะพานแห่งนั้นแล้ว

 


Harald, King of Skemfar
 

“พวกเจ้าไม่ได้มาเพื่อข้ามไปอีกฝั่งใช่มั้ย?” ร่างที่ยืนอยู่กลางสะพานถามผู้มาเยือนทั้งคู่

“ไม่... ว่าแต่ ท่านคือเทพ Halvar ใช่หรือไม่?” Kaya ถามกลับ

“ใช่ ข้าเอง... ข้าคุ้นเคยเจ้านะ กษัตริย์แห่ง Skemfar” เทพ Halvar ตอบกลับ ก่อนที่จะถามต่อ “ว่าแต่เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าชื่อ Kaya ข้านำของบางอย่างมาคืนท่าน” Kaya พูดพลางดึงดาบออกมาจากซองสะพายหลังของเธอ เธอโยนมันเพื่อจะส่งให้กับ Halvar

 

ดาบเล่มนั้นหมุนตัวแล้วเอาด้ามของมันเข้าสู่มือของ Halvar ราวกับเป็นภาพย้อนกลับ... เสมือนว่านี่คือที่ๆ มันควรค่ามาตลอด...

 

“นี่คือดาบที่ Koll ตั้งใจจะตีขึ้นมาให้ข้า... ก่อนที่เขาจะต้องแลกมาด้วยชีวิต” Halvar ส่ายหัว “ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็น Elf ที่นำมันมาให้ข้า”

“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะต้องมาช่วยบรรดาเทพกบฏอย่างพวกเจ้าหรอก” Harald กล่าว “แต่ตอนนี้ เหมือนจะมีแค่เจ้าคนเดียว ที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ได้”

“ด้วยดาบเล่มนี้... ข้าคิดว่าข้าทำได้ แต่ข้าต้องขอเวลาซักเดี๋ยว” Halvar พยักหน้ารับรู้

“ข้อนั้น พวกเราให้ท่านได้แน่ๆ” Kaya ตอบ

“งั้นพวกเจ้าช่วยดูแลสะพานแห่งนี้แทนข้าซักพัก... ก่อนที่ข้าจะแบ่งมิติของอาณาจักรใหม่” Halvar ตอบ

“เอ่อ... ไอ้สะพานบ้านี้มันสำคัญอะไรขนาดนั้น?... หรือที่หลังสะพานนี้มันมีอะไร?” Harald ถามกลับไป

“ผู้คน...” เทพ Halvar ตอบ ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิ วางดาบไว้ที่หน้าตักของเขา และหลับตาลง

 

Kaya ลงมาจากหลังกวางของ Harald เพื่อรับการมาของเหล่าผีดิบบริเวณนั้น ที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า มีอะไรวิ่งผ่านพวกมันไปถึงสะพานก่อน

พวกมันไม่ได้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับกองทัพแห่ง Elf ก็จริง แต่จำนวนที่ไม่รู้จักหมดจักสิ้นของพวกมัน หลั่งไหลมาจากอาณาจักร Karfell อย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้สถานการณ์มีแต่จะเพิ่มความเสียเปรียบให้กับเหล่าคนเป็น

บริเวณทิวเขาไกลๆ Kaya ยังเห็นธงกองรบแห่งอาณาจักร Bretagard ไม่ว่าจะเป็นทั้งชนเผ่า Tuskeri, Beskir, Omenskkers และ Kannah...

แต่ว่า พวกเขาก็กระจัดกระจาย และอยู่ไกลเกินกว่าที่ Kaya จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา

ตอนนี้เหล่าผีดิบทั้งในรูปแบบซากมนุษย์ รวมไปถึงซาก Troll ขนาดยักษ์ และเหล่ามารจาก Immerturm ที่เหลือ เริ่มรุกคืบเข้ามาทาง Kaya และ Harald แล้ว

 


Sword of the Realms
 

“เป็นทางเลือกที่งี่เง่าสุดๆ” Harald บ่นพึ่มพัมบนหลังกวางที่เริ่มเดินไปมา เพราะมันรับรู้ได้ถึงความอันตรายเกินมือ

“ข้าก็ว่างั้น” Kaya ดึงขวานทั้งคู่ออกมาในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง... เธอแหงนหน้ารอรับการโจมตีจากมารที่บินอยู่เหนือฟ้า

แต่ก็เริ่มมีรอยแยกปรากฏบนท้องฟ้าอีกครั้ง สีสันของมันไม่ต่างจากรอยแยกที่ส่งเหล่าผีดิบมาจาก Karfell

และรอยแยกนั้นก็เริ่มบิดเบี้ยว ราวกับมีใครพยายามดันมันออกมาก่อนเวลาอันควร

เสียงคำรามราวกับฟ้าผ่ากำปนาถ กึกก้องไปทั่ว รอยแยกนั่นถูกฉีกออก

สิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งที่ Kaya คุ้นเคยอย่างไม่น่าเชื่อ

 

รูจมูกที่เรียบแบน ร่างยาวกลม ขดไปมาบนท้องฟ้า และคมเขี้ยวพิษอันโดดเด่น... มันเหมือนกับงูทั่วๆ ไป

ถ้าเกล็ดของมันไม่ดูแปลกตาแบบนี้... เกล็ดของมันประกอบขึ้นด้วยลวดลายที่แปลกประหลาด...

และเมื่อรวมกับขนาดของมันที่ใหญ่จนเต็มท้องฟ้า ราวกับมันเพียงตัวเดียวก็สามารถขดรัดรอบๆ ต้นไม้แห่งโลกอันเป็นเส้นทางระหว่างอาณาจักรได้

 

“ข้าแต่เทพ Einir” Harald ส่งเสียงกระซิบออกมาจากคอของเขา “Koma... พญางูแห่งจักรวาล (Cosmos Serpent)”

 

Koma งูที่บิดเบือนได้แม้แต่กฎแห่งแรงโน้มถ่วง...

เมื่อทุกๆ การเคลื่อนไหวของมันคือการลอยไปมาบนท้องฟ้า ราวกับมันเลื้อยบนพื้นดิน มันฉกเอามารที่บินไปมาเข้าปากราวกับงูกินแมลง

มันรุกคืบไปยังรอยแยกแห่ง Karfell ส่งให้พวกผีดิบที่ขวางเส้นทางการเลื้อยของมันกลับไปเป็นศพจริงๆ อีกครั้ง Koma เลื้อยหายเข้าไปในอาณาจักร Karfell ก่อนที่จะทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเลื้อย และซากศพมากมาย

 


Koma, Cosmos Serpent
 

ภาพเหล่านั้นตราตรึงใจ Kaya จนเธอไม่ทันสังเกตที่รอยแยกบนท้องฟ้า

ตอนนี้เหล่านางฟ้าสงครามแห่ง Starnheim ได้โบยบินเข้าสู่สนามรบแล้ว พวกเธอจับคู่กันดั่งเช่นที่ Inga เคยเล่าให้ Kaya ฟัง

นางฟ้าผู้นำทาง (Shepperd) และนางฟ้าผู้เก็บเกี่ยว (Reaper) ต่างเข้าโรมรันกับเหล่ามาร

การปะทะก็แสดงให้เห็นความเหนือกว่าของเหล่านางฟ้าอย่างเห็นได้ชัด

แต่ก็มีร่างหนึ่ง ที่ไม่มีปีกขนนกแฉกเช่นนางฟ้าตนอื่นๆ... ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นเพศหญิงด้วยซ้ำ เขาออกมาจากรอยแยกนั้น โดยมีนางฟ้าอีกตนพาเขาลงมา

และเมื่อถึงความสูงราวๆ 3 เมตร เขาก็กระโดดลงมา แต่ร่างของเขากับลอยอยู่กลางอากาศ

ใต้ฝ่าเท้าของเขาเหมือนเหยียบอยู่บนอากาศที่อัดตัวแข็งจนเป็นผลึก... และเขายังนำมันมาใช้เป็นอาวุธเพื่อซัดใส่เหล่าผีดิบ

และผลของมันไม่ใช่การโจมตีแบบทั่วๆ ไป เพราะทันทีที่ผลึกฝังเข้าร่างของผีดิบไปแล้ว ร่างของเหล่าผีดิบมันกลับแตกกระจายราวกับแก้วที่โดนทุบ

 

“ลูกเล่นของนายเจ๋งมาก” Kaya กล่าวกับชายปริศนา “ว่าแต่นายเป็นใคร?”

ทว่าชายคนนั้นกลับถามคำถามเดิมกลับไป “เจ้าเป็นใคร?”

แต่บทสนทนาก็ไม่ได้ดำเนินต่อ เมื่อผีดิบอีกตัวกำลังจะโจมตีจากด้านหลังของชายปริศนา Kaya ตะโกนให้เข้าระวัง พร้อมกับขว้างขวานในมือของเธอเข้ากลางกบาลของผีดิบตัวนั้น จนมันล้มลง... และก็ถือเป็นโชคดีที่เพื่อนใหม่ของเธอเลือกหลบได้ถูกทาง ไม่งั้นก็คงจะเป็นเขาที่รับขวานไปกลางหน้าผากแทน

 

“ฉันชื่อ Kaya... นายล่ะ” Kaya ถามซ้ำอีกครั้ง

Niko, Niko Aris ชายคนนั้นตอบกลับ

“ยินดีที่ได้รู้จัก... แต่ไว้ค่อยคุยกันเถอะ” Kaya ที่อยู่ท่ามกลางกองทัพมากมายของผีดิบ และมารกล่าวตัดบท แม้ว่าเธอจะยังคงเคลงใจถึงชื่อที่ไม่น่าเป็นชาว Kaldheim ของ Niko อยู่ก็ตาม

 

และในเวลาเดียวกันนั้น ในสนามรบก็มีอีกร่างพุ่งตรงมาหา Kaya เช่นเดิม มันผลักให้เหล่าผีดิบที่ขวางทางกระเด็นกระดอนออกไปหมด...

Varrogoth... มันยังอยู่... แม้ว่าสภาพของมันจะดูเป็นปีศาจมากกว่าหัวหน้ามารแล้วก็ตาม...

ชุดเกราะของมันบิดเบี้ยวจากแรงกระแทกของอาวุธมากมาย ไม่รวมว่าขวานยักษ์ของมันก็ไม่อยู่ในมือของมันอีกแล้ว

แต่ที่หลังของมัน มีอีกร่างที่เธอคุ้นเคย... ผมสีแดงที่เปรอะเปื้อนจนมันจะกลายเป็นสีน้ำตาลอยู่แล้ว...

Tyvar เกาะติดมากับ Varrogoth ด้วยร่างที่เหนื่อยอ่อนเต็มที่

 

Harald พึมพำเวทย์มนต์บางอย่าง และใต้ดินก็ส่งฝูงงูขึ้นมารัดขาของมาร Varrogoth พวกมันถักทอตัวเองในรูปแบบที่ Kaya เคยเห็นจากขวานของเธอ

แต่ทว่า พลังจากธรรมชาติก็ไม่อาจต้านทานพละกำลังของจอมมารได้ มันฉีกร่างของงูเหล่านั้นด้วยมือเปล่า

 

Niko ใช้ผลึกของเขาโจมตี แต่มันก็พลาดเป้า ไปชนกับเกราะไหล่ของจอมมารแบบถากๆ ไปเท่านั้น

 

Tyvar รวบรวมพลังอีกครั้ง เขาใช้มีดที่ปลอกแขนของเขาทิ่มไปที่ปีกของ Varrogoth... ครั้งนี้มันร้องด้วยความเจ็บปวด และความสนใจของมันก็กลับไปที่ Tyvar อีกครั้ง มันพยายามจะคว้าตัว Tyvar...

 

และนั่นก็เป็นโอกาสที่ Kaya รออยู่

เธอวิ่งเข้าใส่ Varrogoth... คราวนี้คงไม่ต้องอาศัยพลังไร้สสารของเธอ เธอเพียงไถลตัวลงหลบแขนของจอมมาร และตวัดขวานของเธอขึ้นไป

ใบมีดของมันตัดผ่านคอของ Varrogoth...

มันทรุดตัวลง พยายามเอามือมาอุดปากแผล ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยของเหลวสีดำไหลทะลักออกมา... มันคืบคลานไปข้างหน้าได้อีกไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะนอนคว่ำลงไป...

 

และก่อนที่ Kaya จะได้กลับมาโล่งใจ เสียงของคลื่นทะเลก็กลับมาอีกครั้ง แต่มันกลับเป็นคลื่นของแสงที่อยู่บนท้องฟ้า... มันซัดผ่านไปยังรอยแยกที่ถูกเปิดอยู่ และรอยแยกนั้นก็ค่อยๆ ลดขนาดลง จนมันหายไป... Doomskar ถูกหยุดลงแล้ว

เหล่ามารที่ถูกความกลัวเข้าแทนที่ความบ้าเลือด เริ่มบินหนีออกไปจาก Bretagard จะเหลือก็เพียงพวกผีดิบที่ยังไม่รู้ตัวว่าพวกมันไม่เหลือกำลังเสริมอีกแล้ว

และร่างของ Halvar ที่ยืนอยู่ เขาชูดาบแห่งอาณาจักรขึ้นท้องฟ้า แสงเรืองรองของเทพเจ้าแห่ง Kaldheim ส่งประกายของมันสู่ตัวของเทพแห่งสงคราม

เบื้องหลังสะพาน เด็กๆ ในบ้านอันสงบสุข มองลอดหน้าต่างของเขา... และได้เห็นภาพที่จะกลายเป็นตำนานเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น ไปอีกยาวนาน

 


Niko Aris
 

“ที่สุดแล้ว...” Tyvar พูดในขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านอดีตสนามรบ ที่เหลือเพียงเสียงฝีเท้าก้าวไปบนพื้นที่เจิ่งนอง “ข้าอาจจะสังหารผีดิบไปเกือบๆ ร้อยตัว มารอีกสาม... แต่เรื่องของเจ้า หญิงผู้สังหาร Varrogoth จอมมารผู้ทำลายอาณาจักร ดูเป็นตำนานที่น่าสนุกกว่าของข้าเยอะเลย”

“นายคอยแก้ตำนานให้ตรงตามความจริงหน่อยละกัน” Kaya พูดพร้อมส่งยิ้ม... รอยยิ้มที่มาจากภายใน แม้ว่าร่างกายของเธอจะเหนื่อยอ่อนและสะบักสะบอมสุดๆ ก็ตาม

“ข้า... ไม่รู้ว่าจะคอยแก้เรื่องเล่าของเจ้าได้หรือเปล่า” Tyvar หยุดเดิน

“นายจะไปไหนรึไง?” Kaya เลิกคิ้วแสดงความแปลกใจ

“ข้าอยากรู้ว่า... โลกอื่นๆ จะเป็นเช่นไร”

“อ้าว ฉันคิดว่านายไม่สนใจจะเป็น Planeswalker ซะอีก”

Tyvar ยักไหล่ ก่อนที่จะอธิบายเหตุผลของเขา “ข้าอาจจะด่วนตัดสินใจไปหน่อย... เจ้าคือคนที่ทำให้ข้ามองเห็นความสำคัญของมัน... เรื่องวุ่นวาย อันตราย มันไม่ได้จะเกิดที่ Kaldheim เพียงที่เดียว และถ้าเรามีความสามารถจะช่วยเหลือผู้คนได้ ทำไมเราถึงจะไม่ช่วยเหลือพวกเขาล่ะ... เหมือนกับเจ้า... ที่มาช่วยเหลือ Kaldheim”

“แล้วตำนานของเจ้าล่ะ... เจ้ายอมจะทิ้งเกียรติยศ และเรื่องเล่าขานไปแล้วหรือไง”

“ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วล่ะ... ที่สำคัญ เหตุการณ์ในวันนี้ คงไม่มีใครจะลืมเรื่องราวของเจ้าได้หรอก” Tyvar ตอบ

 

และด้วยคำตอบที่แสนจะจริงใจไร้เดียงสาของเขา... Kaya ก็เชื่อว่าเธอคิดไม่ผิด... ไอ้หนูคนนี้มีหวังได้ก้าวพลาดแน่ๆ... แต่เขาก็คงดูแลตัวเองได้... อย่างน้อย Tyvar ก็ช่วยชีวิตเธอมาหลายครั้งแล้ว

 

“ถ้างั้น... เราคงได้พบกันอีก” Kaya ตอบ

“แน่นอน” Tyvar ตอบด้วยความมั่นใจ “คราวหน้า มันจะเป็นเรื่องของข้า ที่กลายเป็นตำนานเหล่าขานแล้วนะ”

ทั้งคู่เดินไปถึงทางแยก ที่ตอนนี้เละเทะไปด้วยเศษซากสงคราม พวกเขาได้พบกับ Inga, หัวหน้าชนเผ่าคนอื่นๆ และ Niko ที่กำลังรออยู่

อีกด้านของทางแยก ก็เป็นทางด้านของกองทัพ Elf ที่มี Harald นำทัพ

Harald กับ Fynn สบตากันซักครู่ แม้มันจะยาวนานพอสร้างให้บรรยากาศกระอั่กกระอ่วน แต่ก็ไม่ได้มีฝ่ายใดทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง... อาจะเป็นเพราะ Doomskar ที่พึ่งจบลง

เหล่าเทพก็หลบลี้ไปตามเส้นทางของพวกท่าน... เพราะมันเหมือนจะมีแค่ที่ Bretagard แห่งนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม

 

“Kaya, Tyvar พวกเจ้าปลอดภัยนะ” Inga กล่าวกับทั้งคู่

“ก็... พอได้อยู่นะ” Kaya ตอบกลับ

“กองทัพของพวกเราผลักดันพวกผีดิบได้สำเร็จด้วยดี” Sigrid รายงานผลของสงคราม “แต่พวกเราก็คงตามจับพวกมันได้ไม่หมด พวกที่เล็ดลอดไปได้ ก็คงต้องรอจนกว่าจะเข้าฤดูที่อากาศอบอุ่นกว่านี้ พวกมันก็จะละลายไปเอง... จะเหลือก็แต่พวกมารนั่นแหละ”

“นั่นอาจจะกระทบทุกอาณาจักรเลยล่ะมั้ง” Inga เสริม “Doomskar เชื่อมโยงแต่ละอาณาจักรยาวนานเกินไป, เราไม่รู้ว่ามีอะไรหลุดไปที่ไหนบ้าง”

“ข้าขอเสนอตัวไปแก้ปริศนานั้นเอง!” Arni โพล่งขึ้นมา

“อย่างที่เจ้าบอก... หลากหลายสิ่งน่าจะมีผลกระทบกับหลายๆ ที่” Harald ดึงประเด็นการสนทนากลับเข้าที่ “พวกเรา เหล่า Elf จะกลับไปที่ Skemfar เพื่อดูแลอาณาจักรของพวกเราอีกครั้ง... แม้ Doomskar จะจบลงแล้ว แต่เวทย์แห่ง Skemfar ก็ยังคงอยู่... และพวกมันคือเวทย์มนต์ที่ทรงพลังจนไม่ควรให้อะไรเข้าไปยุ่งกับมัน”

“ถ้างั้น... พวกเราก็ยังต้องร่วมมือกันอยู่สินะ” Fynn กัดฟันพูด

“แล้วเจ้าล่ะ Kaya?” Inga ถามขึ้น “เจ้ายังต้องตามหาเจ้าสัตว์อสูรนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ?“

”... เอ่อ นั่นก็ใช่” Kaya ตอบ... เธอไม่มีทางลืมสัตว์ปีศาจตัวนั้น ที่เธอพบในถ้ำได้ “แต่ปัญหาคือ ฉันไม่คิดว่ามันจะอยู่ที่นี่แล้วล่ะ... มันน่าจะเดินทางข้ามดวงดาวได้... ไม่ใช่แค่ข้ามอาณาจักรของ Kaldheim”

“ข้ามดวงดาว... มันมีอะไรข้างนอกนั่น?” Niko ถามขึ้นมา

“เอ่อ... ดาวดวงอื่นๆ น่ะ... อธิบายแล้วยาว ขอไม่อธิบายตอนนี้นะ” Kaya ตอบ เพราะเธอเหนื่อยเกินกว่าจะต้องอธิบายเรื่องนี้ซ้ำสอง

แต่ Niko ไม่ได้ผิดหวังกับคำตอบนั้น เขาเดินเข้ามาใกล้ Kaya ด้วยแววตาเป็นประกาย... “มันมีดาวที่เรียกว่า Theros อยู่ใช่มั้ย?”

Kaya หันกลับไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ “งั้นเดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”

 

- บทส่งท้าย -

 

ณ ใจกลางของต้นไม้แห่งโลก

 

Esikar เทพีแห่งต้นไม้เหลือเพียงลมหายใจรวยริน...

เธอเป็นเทพเจ้าแห่ง Kaldheim ดังนั้นแล้ว... ความตายจึงไม่ควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ...

นี่ยังไม่นับว่า เธอคือผู้สร้างสารสกัดจากต้นไม้แห่งโลก เพื่อมอบพลังระดับเทพเจ้าให้แก่เทพองค์อื่นๆ ใน Kaldheim

แต่ความตายที่สารสกัดของเธอ มันห้ามได้แค่ความตายจากการแก่เฒ่าเท่านั้น

ในความจริงแล้ว ร่างของเธอควรจะถูกแรงโน้มถ่วงพาร่างของเธอลงไปนอนอยู่กับพื้นแล้ว ถ้ามันไม่ได้ถูกตรึงไว้กับผนังภายในต้นไม้ ด้วยกรงเล็บสีเนื้อ... มันเป็นสัตว์ที่เธอไม่เคยเห็น และมันไม่ควรจะมีอะไรเข้าสู่วิหารแห่งต้นไม้แห่งโลกได้...

มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่กักเก็บสารสกัดเพื่อสร้างยาอายุวัฒนะแห่งพระเจ้า

 

“ความกระหายในตัวเจ้ามีไม่มากพอ... ความกลัวก็ไม่มากพอ ที่เจ้าจะดิ้นรนไปจากสถานการณ์นี้

เสียงที่ส่งออกมาจากร่างนั้นเปล่งออกมาเหมือนผ่านการตัดต่อเอาเสียงของสิ่งมีชีวิตต่างๆ มารวมกัน

 


Esika, God of the Tree

 

มันปล่อยร่างของ Esika ลงกระแทกพื้น และมันก็เดินหลังค่อมไปยังบ่อเก็บสารสกัด

Eskia พยายามพยุงร่างของเธอขึ้นมา... เธอไม่ใช่นักรบแฉกเช่น Halvar หรือ Toralf

แต่หน้าที่ของเธอคือการปกป้องต้นไม้แห่งโลก... กระนั้น ร่างกายของเธอก็ไม่ตอบสนองคำสั่งอีกต่อไป เธออยากจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไร้เสียงอะไรนอกจากความเงียบงัน

เธอทำได้แค่จ้องมองสัตว์อสูรตัวนั้นนั่งลงไปข้างๆ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

มันจะทำอะไรกับบ่อน้ำแห่งนี้... Kaldheim จะเกิดอะไรขึ้น....

แต่ทว่า สิ่งที่มันทำ คือหยิบขวดแก้วที่เธอสร้างเพื่อเก็บสารสกัดเหล่านั้น

มันตักน้ำในบ่อขึ้นมา แสงเรืองรองสีแบบเดียวกับแสงของเทพแห่ง Kaldheim สะท้อนออกมาจากขวดนั้น

 

“ได้รับตัวอย่างแล้วสัตว์อสูรตัวนั้นพูดด้วยเสียงสังเคราะห์เหมือนเดิม “ข้าพร้อมจะเดินทางกลับ”

 

Esika ไม่เข้าใจว่ามันกำลังพูดกับใคร... เพราะมันดูไม่สนใจเธอมาตั้งแต่แรกแล้ว...

ฉับพลัน ในห้องวิหารแห่งนี้ก็มืดลง... Esika ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเหตุอื่นใด หรือเป็นเพราะเธอกำลังจะตายจากบาดแผลฉกรรจ์ที่สัตว์อสูรตนนี้ทิ้งไว้กับเธอ

ก่อนที่จะมีแสงสว่างจ้าขึ้นกลางห้อง แสงประกายของเหล็กกระทบกันสีแดงกระจัดกระจายออกมาเป็นวงกลม... มันคือประตูเดินทางข้ามอาณาจักรในแบบที่ Esika ไม่เคยเห็นมาก่อน...

 

เสียงจากอีกฝากของประตูตอบกลับมา

 

“ยินดีต้อนรับกลับมา Vorinclex พวกเราเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบไปอีกขั้นแล้ว”